สาเหตุของโรคงูสวัด
โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus หรือ VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส ผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสอาจเป็นโรคงูสวัดได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสยังคงแฝงอยู่ในปมประสาท หากภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง อาจทำให้เชื้อไวรัสชนิดนี้ที่แฝงตัวอยู่แบ่งตัวและเพิ่มจำนวน ทำให้เส้นประสาทอักเสบ จนเกิดเป็นโรคงูสวัด ส่งผลให้ปวดและมีตุ่มหรือผื่นขึ้นที่ผิวหนังบริเวณแนวเส้นประสาทโดยปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ได้แก่
- อายุเกิน 50 ปี
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- เข้ารับการฉายรังสีหรือทำเคมีบำบัด
- มีปัญหาสุขภาพ เช่น ติดเชื้อเอชไอวี มะเร็ง
- ใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ เพรดนิโซน (Prednisone) ยากดภูมิคุ้มกัน
การรักษาโรคงูสวัด
วิธีรักษาและดูแลอาการของโรคงูสวัด อาจมีดังนี้
- รับประทานยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) เพื่อชะลอการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- ใช้ยาบรรเทาอาการปวดและลดผื่น เช่น ยากันชัก อย่างกาบาเพนติน ยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก อย่างอะมิทริปไทลีน ยาชา อย่างลิโดเคนในรูปแบบครีม เจล สเปรย์ แผ่นแปะ เป็นต้น โดยคุณหมออาจแนะนำให้รับประทานยาภายใน 3 วันหลังเริ่มมีผื่นขึ้น
- ประคบแผลด้วยน้ำเกลือ ครั้งละประมาณ 10 นาที 3-4 ครั้ง/วัน อาจช่วยให้แผลแห้งเร็วขึ้น
- อาบน้ำให้สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรีย
การป้องกันโรคงูสวัด
วิธีการต่อไปนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคงูสวัดได้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผื่น หรือตุ่มน้ำของผู้ป่วยโรคงูสวัด
- ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย