โรคหนังแข็ง หรือโรคผิวหนังแข็ง (Scleroderma) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ผิวหนังแข็งและหนาขึ้น เกิดขึ้นได้กับผิวหนังบริเวณต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เช่น มือ เท้า แขน ใบหน้า ทั้งยังส่งผลต่ออวัยวะภายใน เช่น ปอด ลำไส้ หลอดเลือด หัวใจ ไต ทำงานผิดปกติเกิดเป็นปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาได้ด้วย
คำจำกัดความ
โรค หนังแข็ง คืออะไร
โรคหนังแข็ง หรือโรคผิวหนังแข็ง (Scleroderma) เป็นโรคในกลุ่มโรคภูมิต้านตนเอง หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองชนิดหายากและเรื้อรัง ที่เกี่ยวข้องกับการหนาและแข็งตัวขึ้นของเนื้อเยื่อ ส่วนใหญ่แล้วโรคนี้จะส่งผลต่อผิวหนังและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน แต่ในบางกรณีก็อาจส่งผลต่ออวัยวะภายใน เช่น ทางเดินอาหาร ปอด ไต หัวใจ หลอดเลือด กล้ามเนื้อ ข้อต่อ ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติ หากเป็นในกรณีเหล่านี้ ส่วนใหญ่อาการมักจะรุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โรคหนังแข็งทั่วตัว (Systemic scleroderma)
สามารถแยกออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
- โรคหนังแข็งทั่วตัวแบบลิมิเต็ด หรือแบบจำกัด (Limited scleroderma) อาการของโรคจะพัฒนาอย่างช้า ๆ มักส่งผลกระทบกับผิวหนังบริเวณใบหน้า มือ เท้า แขน และขา โดยลักษณะผิวหนังที่แข็งจะเป็นบริเวณส่วนปลายไม่เกินข้อศอก และเข่า แต่ในบางกรณีก็อาจเกิดรอยโรคที่ปอด ลำไส้ หรือหลอดอาหารได้ด้วย
- โรคหนังแข็งทั่วตัวแบบดิสฟิวซ์ หรือแบบแพร่กระจาย (Diffuse scleroderma) อาการของโรคจะพัฒนารวดเร็ว มักส่งผลกระทบกับผิวหนังที่บริเวณกลางลำตัว ต้นขา ต้นแขน มือ เท้า และในบางกรณีอาจสร่างความเสียหายต่อหัวใจ ปอด ไต และทางเดินอาหารได้ด้วย
โรคหนังแข็ง พบได้บ่อยได้แค่ไหน
โรคหนังแข็งพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และผู้ที่เป็นโรคนี้มักอยู่ในช่วงวัย 30-50 ปี โปรดปรึกษาคุณหมอสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
อาการ
อาการของ โรคหนังแข็ง
อาการของโรคหนังแข็งขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ อาการที่พบทั่วไป ได้แก่
- โรคเรเนาด์ (Raynaud’s Disease) ซึ่งส่งผลให้หลอดเลือดฝอยที่นิ้วมือและนิ้วเท้าหดตัว จนนิ้วเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำและรู้สึกเจ็บหรือชา เมื่อเจอกับอากาศหนาวเย็นหรือความเครียดทางอารมณ์ (Emotional distress)
- ผิวหนังมีลักษณะบวมแดง ก่อนจะกลายเป็นผื่นผิวหนังที่หนาและแข็งกว่าผิวหนังบริเวณอื่น โดยรูปร่าง และขนาดของผื่นจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคหนังแข็งที่เป็น ส่วนใหญ่ผิวหนังบริเวณที่มีรอยโรคหนังแข็งจะออกเงา ๆ และตึงกว่าบริเวณอื่น ทำให้เคลื่อนไหวได้ยากขึ้น และอาจมีอาการต่อไปนี้ด้วย
- ผิวหนังมีสีเข้มหรืออ่อนกว่าปกติ
- เกิดแผลที่ผิวหนัง
- ผมร่วง
- ผิวแห้งผิดปกติ หรืออาจมีอาการช่องคลอดแห้งด้วย
ข้อต่อบวม จนทำให้ปวด และเกิดอาการข้อติด กล้ามเนื้ออ่อนแอ และเส้นเอ็นตึง จนทำให้มีอาการปวดและขยับข้อต่อได้ลำบาก อวัยวะในระบบทางเดินอาหารผิดปกติ โดยอาการจะขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ เช่น หลอดอาหารมีปัญหา อาจทำให้เกิดกรดไหลย้อน และกลืนอาหารลำบาก ลำไส้ผิดปกติ อาจเกิดอาการปวดหน่วงในลำไส้ ท้องอืด ท้องเสีย หรือท้องผูก และหากลำไส้ทำงานผิดปกติ ก็อาจมีปัญหาในการดูดซึมสารอาหารด้วย ปอดทำงานผิดปกติ ทำให้หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจหอบ โดยเฉพาะเวลาออกกำลังกาย รวมถึงทำให้มีอาการไอแห้งด้วย หัวใจผิดปกติ จนรู้สึกเจ็บที่ทรวงอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจล้มเหลว ไตถูกทำลาย จนส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ มีอาการชัก และปัสสาวะน้อยกว่าปกติ อาการอื่น ๆ เช่น ตาแห้ง ปากแห้ง โรคปวดเส้นประสาทใบหน้า (Trigeminal Neuralgia) สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ โปรดปรึกษาคุณหมอเพื่อขอรับคำแนะนำและตรวจวินิจฉัย
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
หากร่างกายส่งสัญญาณเตือนหรือมีอาการตามที่ระบุข้างต้น หรือมีข้อสงสัยใด ๆ โปรดปรึกษาคุณหมอ
ร่างกายของแต่ละคนแสดงอาการแตกต่างกัน จึงควรปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสาเหตุและอาการของแต่ละคน
สาเหตุ
สาเหตุของ โรคหนังแข็ง
โรคหนังแข็งเป็นผลจากภาวะที่ร่างกายผลิตและสะสมคอลลาเจน (Collagen) ไว้ในเนื้อเยื่อมากเกินไป แต่ในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเป็นเพราะเหตุใดกระบวนการผลิตคอลลาเจนของร่างกายถึงทำงานผิดปกติได้ แต่สันนิษฐานว่าภาวะนี้อาจเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และการเกิดโรคหนังแข็งส่วนใหญ่ มักเกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น ปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทางพันธุกรรม
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของ โรคหนังแข็ง
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหนังแข็งมีหลายประการ เช่น
- พันธุกรรม บางคนอาจมีความผันแปรทางพันธุกรรม (Genetic variation) บางอย่างที่ทำให้เป็นโรคหนังแข็งได้ง่ายขึ้น
- ปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน มีการสันนิษฐานว่า โรคหนังแข็ง เป็นผลจากปัญหาระบบภูมิคุ้มกัน กล่าวคือ ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และจากสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่เป็นโรคหนังแข็ง 15-20 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง หรือโรคภูมิต้านเนื้อเยื่อของตนเอง (Autoimmune Disease) อื่น ๆ ด้วย เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคลูปัส โรคโรคโจเกรนหรือโรคโซเกร็น (Sjögren’s Syndrome)
การวินิจฉัยโรคและการรักษาโรค
ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรคหนังแข็ง
การวินิจฉัยโรคหนังแข็งทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากอาการของโรคสามารถเกิดได้กับอวัยวะหลายส่วนในร่างกาย รวมถึงอวัยวะภายใน เช่น ข้อต่อ ลำไส้ และคุณหมออาจวินิจฉัยอาการเบื้องต้นผิดว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคลูปัสได้
หากคุณหมอสันนิษฐานว่าคนไข้อาจเป็นโรคหนังแข็ง จะทำการซักประวัติสุขภาพทั้งตัวคนไข้และสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัว รวมถึงให้คนไข้เข้ารับการตรวจร่างกายและการตรวจวินิจฉัยโรค ดังต่อไปนี้
- ภาพวินิจฉัย เช่น การเอกซเรย์ การทำซีทีสแกน
- การตรวจเลือด
- การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจวินิจฉัย
- การตรวจระบบทางเดินอาหาร
- การตรวจสมรรถภาพปอด
- การตรวจสมรรถภาพหัวใจ เช่น การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การรักษาโรคหนังแข็ง
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคหนังแข็งโดยเฉพาะ คุณหมอมักรักษาโรคตามอาการที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยแต่ละราย โดยวิธีรักษาโรคหนังแข็งที่นิยมใช้ ได้แก่
- การใช้ยา เช่น
- ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs หรือ NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) แอสไพริน (Aspirin) ที่มีฤทธิ์ลดอาการปวด บวม
- ยาสเตียรอยด์ หรือยาอื่น ๆ ที่ช่วยชะลอการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และลำไส้
- ยาที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณนิ้วมือและนิ้วเท้าได้มากขึ้น
- ยาลดความดันโลหิต
- ยาขยายหลอดเลือด เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปสู่ปอดได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อเป็นแผล
- ยารักษากรดไหลย้อน
- ยาปฏิชีวนะ
- ยาช่วยย่อย
วิธีการรักษาอื่น ๆ เช่น - การรักษาโรคผิวหนังโดยการฉายแสง หรือการรักษาด้วยเลเซอร์
- กายภาพบำบัด
- กิจกรรมบำบัด
- การปลูกถ่ายอวัยวะ ในกรณีที่อวัยวะเสียหายร้ายแรง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อจัดการกับโรคหนังแข็ง
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้ข้อต่อยืดหยุ่น และช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย
- ดูแลข้อต่อไม่ให้บาดเจ็บ หากข้อต่อบาดเจ็บ ควรงดกิจกรรมที่ยิ่งส่งผลเสียต่อข้อต่อ เช่น การยกของหนัก
- ดูแลผิวหนังให้ชุ่มชื้น อย่าให้ผิวแห้ง เพราะอาการผิวแห้งจะยิ่งทำให้ผื่นผิวหนังที่เกิดจากโรคหนังแข็งแย่ลง
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น ดื่มน้ำให้มากขึ้น รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผักและผลไม้สดให้มากขึ้น
- จัดการความเครียดให้ดี เพราะความเครียดอาจส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวก และส่งผลต่อสภาพจิตใจ จนทำให้อาการของโรคหนังแข็งแย่ลงได้ วิธีรับมือความเครียด เช่น นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำกิจกรรมโปรดเพื่อคลายเครียด