backup og meta

โรคเรื้อน สาเหตุ และวิธีการรักษา

โรคเรื้อน สาเหตุ และวิธีการรักษา

โรคเรื้อน เป็นอาการโรคติดเชื้อเรื้อรังชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มีระยะฟักตัวนานราว 5-12 ปี ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวหนัง มีผื่น ตุ่ม หรือวงด่างขาว ขึ้นทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันเชื้อโรคมักไปทำลายระบบประสาทให้เสียหายอย่างช้า ๆ หากไม่รีบรักษา ผู้ป่วยอาจมีใบหน้าผิดรูป เป็นอัมพาต หรือตาบอดได้ ปัจจุบันนี้ โรคเรื้อนรักษาได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ

คำจำกัดความ

โรคเรื้อน คืออะไร

โรคเรื้อน เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรัง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไมโคแบคทีเรียม เลพรี (Mycobacterium Leprae) ทำให้เกิดความผิดปกติที่ผิวหนัง เส้นประสาท เยื่อบุจมูก มือ เท้า และดวงตา โดยระยะฟักตัวของเชื้อแบคทีเรียชนิดดังกล่าวก่อนแสดงอาการของโรคจะอยู่ประมาณ 5-12 ปี อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยบางราย เชื้ออาจใช้เวลาฟักตัวนานถึง 20 ปี

โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากจมูกหรือปากของผู้ติดเชื้อ หากมีอาการแต่ไม่รีบเข้ารับการรักษา อาจเป็นอัมพาตหรือตาบอดได้ เนื่องจากเส้นประสาทถูกทำลาย รวมถึงมีผิวหนังที่เสียหายอย่างถาวร

โรคเรื้อนเกิดกับคนได้ทุกช่วงวัย ในปี พ.ศ. 2563 องค์การอนามัยโลกพบว่าผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ ใน 139 ประเทศทั่วโลก มีจำนวนทั้งสิ้น 127,558 คน ในจำนวนนี้ 8,629 คน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี

อาการ

อาการของโรคเรื้อน

อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคเรื้อน มีดังนี้

ผิวหนัง

  • มีวงด่างขาว ปื้นแดง หรือผื่นแดงบนผิวหนัง
  • ผิวหนังแห้งหรือแข็งเป็นหย่อม ๆ
  • มีแผลพุพองบริเวณฝ่าเท้า
  • มีตุ่มบวมบนใบหน้าหรือติ่งหู
  • ขนคิ้วหรือขนตาร่วงมากผิดปกติ

ระบบประสาท

  • มีอาการชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น มือ เท้า ทำให้เมื่อร่างกายเป็นแผล จึงไม่รู้สึก และเมื่อปล่อยไว้ก็อาจลุกลามยากจะรักษาได้
  • เกิดความเสียหายของเส้นประสาทบริเวณสมอง ไขสันหลัง ทำให้เป็นอัมพาตได้
  • มีปัญหาด้านการมองเห็น เช่น ต้อหิน ตาบอด
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต โดยเฉพาะบริเวณมือหรือเท้า

ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคเรื้อนบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อน เช่น

  • ใบหน้าเสียรูป จากอาการนูนบวมของผิวหนังที่ติดเชื้ออย่างถาวร
  • หย่อนสมรรถภาพทางเพศ รวมทั้งลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และปริมาณน้ำเชื้อ ทำให้อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว และระบบสืบพันธุ์เสียหายได้
  • อาการไตวาย โรคเรื้อนอาจไปทำลายไต จนก่อให้เกิดไตวายได้
  • การคัดจมูกเรื้อรัง เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียของโรคไปทำลายเซลล์เนื้อเยื่อภายในจมูก
  • ความรู้สึกแสบร้อนบนร่างกาย

สาเหตุ

สาเหตุของโรคเรื้อน

โรคเรื้อน เกิดจากแบคทีเรียไมโคแบคทีเรียม เลพรีซึ่งติดต่อกันได้จากการกระจายของละอองฝอยเมื่อผู้ติดเชื้อไอหรือจาม

อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อแบคทีเรียโรคเรื้อน จะไม่เกิดขึ้นในกรณีต่อไปนี้

  • เมื่อจับมือหรือกอดกัน
  • เมื่อนั่งติดกับผู้อื่นในระบบขนส่งสาธารณะ
  • เมื่อร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
  • เมื่อมีเพศสัมพันธ์
  • จากมารดาไปยังทารกในครรภ์

เมื่อไรควรไปพบคุณหมอ

หากพบแผลหรือผื่นบนร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปพบคุณหมอ แม้ว่าจะมีผื่นที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก รวมถึงไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือคันก็ตาม นอกจากนั้น บางครั้งผื่นโรคเรื้อนจะขึ้นในบริเวณที่มองเห็นได้ยาก เช่น แผ่นหลัง สะโพก ทำให้ผู้ป่วยสังเกตไม่เห็น จึงไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ

การวินิจฉัยและการรักษาโรค

การวินิจฉัยโรคเรื้อน

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

เมื่อไปพบคุณหมอ คุณหมอจะวินิจฉัยอาการของโรคเรื้อน โดยการสังเกตด้วยตาเปล่า เพื่อตรวจดูความผิดปกติบนผิวหนังเช่น วงด่างขาว หรือชมพูซีด ปื้นแดง ผื่น รวมทั้งอาจใช้เข็มจิ้มลงบนผิวหนังเบา ๆ เพื่อตรวจดูว่าผู้ป่วยมีอาการด้านชาเนื่องจากเส้นประสาทถูกทำลายอันเป็นอาการของโรคหรือไม่

นอกจากนี้ หากคุณหมอสงสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคเรื้อน อาจตัดผิวหนังบางส่วนไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรค

การรักษาโรคเรื้อน

โรคเรื้อนรักษาให้หายได้ โดยเฉพาะอาการทางผิวหนัง โดยปกติ การรักษาโรคเรื้อนจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยคุณหมอจะให้ผู้ป่วยรับประทานยาปฏิชีวนะ 2-3 ชนิดร่วมกัน หรือมากกว่านั้น เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันไม่ให้อาการของโรคแย่ลง โดยยากลุ่มที่ใช้รักษาโรคเรื้อน ประกอบด้วย

  • แดพโซน (Dapsone)
  • ไรแฟมพิซิน (Rifampin)
  • โคลฟาซิมีน (Clofazimine)
  • ทาลิโดไมด์ (Thalidomide)
  • เพรดนิโซโลน (Prednisolone)

ทั้งนี้ การใช้ยาหลายขนานยังป้องกันการดื้อยาเนื่องจากการใช้ยาในระยะยาวด้วย

อย่างไรก็ตาม ยาปฏิชีวนะไม่สามารถรักษาความเสียหายของเส้นประสาทหรือการเสียรูปของใบหน้าได้ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรรีบพบคุณหมอตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือในระยะแรก ๆ ของการเกิดโรคเรื้อน

การปรับพฤติกรรมและการดูแลตัวเอง

โรคเรื้อนมีอัตราการติดต่อกันของโรคต่ำ สามารถดูแลตัวเองเพื่อให้ห่างไกลโรคเรื้อน ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงสัมผัสผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการรักษา โดยเฉพาะเมื่อร่างกายมีบาดแผล เนื่องจากเป็นช่องทางแพร่เชื้อของโรค หากต้องติดต่อกับผู้ป่วยโรคเรื้อนควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกัน เพราะหากผู้ป่วย ไอ จาม อาจแพร่กระจายเชื้อได้
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ป่วยซึ่งยังไม่ได้รับการรักษา โดยผู้ที่อาศัยอยู่กับผู้ป่วยมีแนวโน้มติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไปถึง 8 เท่า ทั้งนี้ ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษา สามารถป้องกันผู้ป่วยไม่ให้แพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้

[embed-health-tool-heart-rate]

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

การดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อนร่วมกับภาวะเห่อ.
https://ddc.moph.go.th/uploads/files/2060620210914035015.pdf. Accessed February 15, 2022

Leprosy. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/leprosy. Accessed February 15, 2022

Leprosy (Hansen’s disease). https://www.who.int/health-topics/leprosy#tab=tab_2. Accessed February 15, 2022

Transmission. https://www.cdc.gov/leprosy/transmission/index.html. Accessed February 15, 2022

Diagnosis and Treatment. https://www.cdc.gov/leprosy/treatment/index.html. Accessed February 15, 2022

Hansen’s Disease (Leprosy). https://www.cdc.gov/leprosy/index.html. Accessed February 15, 2022

Leprosy. https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/guide/leprosy-symptoms-treatments-history. Accessed February 15, 2022

โรคเรื้อน. https://www.si.mahidol.ac.th/siriraj_online/thai_version/Health_detail.asp?id=36. Accessed February 15, 2022

 

เวอร์ชันปัจจุบัน

23/02/2022

เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet

อัปเดตโดย: Duangkamon Junnet


บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคผิวหนัง ที่เกิดจาก เชื้อรา มีอะไรบ้าง และรักษาอย่างไร

เรื้อน (Leprosy)


ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

Duangkamon Junnet


เขียนโดย ธนชาติ จึงแย้มปิ่น · แก้ไขล่าสุด 23/02/2022

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา