ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis) เป็นภาวะที่ตับอ่อนซึ่งทำหน้าที่หลั่งเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหารไปยังลำไส้เล็ก ปล่อยฮอร์โมนอินซูลิน และกลูคากอนเพื่อควบคุมการย่อยน้ำตาล (กลูโคส) เกิดการบวมและอักเสบ จนส่งผลต่อการหลั่งเอนไซม์และฮอร์โมนดังกล่าว หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อร่างกายได้
[embed-health-tool-bmi]
ตับอ่อนอักเสบ คืออะไร
ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis) เป็นภาวะที่ตับอ่อนบวมและอักเสบ โดยตับอ่อนเป็นต่อมลักษณะยาวแบน ตั้งอยู่ด้านหลังกระเพาะอาหารในช่องท้องส่วนบน ทำหน้าที่หลั่งเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหารไปยังลำไส้เล็ก และปล่อยฮอร์โมนอินซูลินและกลูคากอนเพื่อควบคุมการย่อยน้ำตาลกลูโคส ภาวะนี้พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย
ตับอ่อนอักเสบมี 2 ชนิด ได้แก่
- ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (Acute pancreatitis)
เป็นการอักเสบที่เกิดขึ้นกะทันหัน อาจเริ่มจากอาการปวดเล็กน้อยไปจนถึงปวดรุนแรง และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันก็อาจหายขาดได้ ส่วนในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ตับอ่อนเฉียบพลันอาจทำให้เกิดเลือดออกในตับอ่อน เนื้อเยื่อเสียหายรุนแรง การติดเชื้อ และเกิดถุงน้ำ ทั้งยังอาจทำลายอวัยวะสำคัญอื่นๆ เช่น หัวใจ ปอด ไต
2. ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง (Chronic pancreatitis)
เป็นการอักเสบของตับอ่อนที่เกิดขึ้นเป็นเวลานาน มักเกิดขึ้นหลังจากตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน มักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก จนทำให้ตับอ่อนเสียหาย อาจใช้เวลาหลายปีกว่าอาการจะปรากฏ และอาจทำให้เกิดอาการตับอ่อนอักเสบรุนแรงเฉียบพลันในเวลาต่อมา
อาการตับอ่อนอักเสบ
อาการตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ได้แก่
- อาการปวดบริเวณช่องท้องส่วนบนที่ลุกลามไปยังหลัง และมีอาการแย่ลงหลังจากการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง
- ท้องบวมและกดเจ็บ
- คลื่นไส้และอาเจียน
- มีไข้
- หัวใจเต้นเร็วขึ้น
อาการตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง ได้แก่
อาการตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง คล้ายคลึงกับอาการตับอ่อนเฉียบพลัน แต่อาจมีอาการอื่นๆ คือ น้ำหนักลดลง ซึ่งเกิดจากการดูดซึมอาหารได้น้อย เพราะตับอ่อนปลดปล่อยเอนไซม์เพื่อย่อยอาหารได้ไม่เพียงพอ นอกจากนี้ หากเซลล์ที่สังเคราะห์อินซูลินของตับอ่อนได้รับความเสียหาย ก็อาจทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ด้วย
ควรไปพบหมอเมื่อใด
หากมีอาการปวดท้องเรื้อรัง หรือมีอาการปวดท้องรุนแรงมาก จนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรรีบไปพบคุณหมอ
สาเหตุของตับอ่อนอักเสบ
โรคตับอ่อนอักเสบ อาจเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
- โรคพิษสุราเรื้อรัง
- นิ่วในถุงน้ำดี
- การผ่าตัดบางประเภท
- การใช้ยาบางชนิด
- การสูบบุหรี่
- โรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic fibrosis)
- การรักษานิ่วในถุงน้ำดี ด้วยวิธีส่องกล้องตรวจรักษาท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน
- ประวัติครอบครัวเคยเป็นตับอ่อนอักเสบ
- ระดับแคลเซียมในเลือดสูง ซึ่งอาจเกิดจากภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานเกิน
- ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
- การติดเชื้อ
- การบาดเจ็บในช่องท้อง
- โรคมะเร็งตับอ่อน
ปัจจัยเสี่ยงของตับอ่อนอักเสบ
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคตับอ่อนอักเสบ เช่น
- การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นเวลานาน
- โรคทางพันธุกรรมบางอย่าง เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส
- นิ่วในถุงน้ำดี
- ภาวะสุขภาพอื่น ๆ เช่น ไตรกลีเซอไรด์สูง โรคลูปัส (Lupus)
การวินิจฉัยและการรักษาโรคตับอ่อนอักเสบ
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยตับอ่อนอักเสบ
นอกจากการซักประวัติและการตรวจร่างกายโดยละเอียดแล้ว คุณหมอจะตรวจเลือดเพื่อช่วยในการวินิจฉัย เพราะในระหว่างที่เป็นตับอ่อนเฉียบพลัน เลือดจะมีส่วนประกอบของเอนไซม์อะไมเลส และเอนไซม์ไลเปส ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารที่สร้างขึ้นในตับอ่อนเพิ่มขึ้นจากปกติ 3 เท่า ความเปลี่ยนแปลงยังอาจเกิดขึ้นกับสารเคมีในร่างกายชนิดอื่นๆ เช่น กลูโคส แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ไบคาร์บอเนต เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ระดับเอนไซม์ดังกล่าวมักกลับคืนสู่ระดับปกติ
การวินิจฉัยตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันมักเป็นเรื่องยากเนื่องจากตับอ่อนอยู่ในบริเวณที่ลึกลงไป คุณหมอจึงอาจต้องใช้วิธีต่อไปนี้ด้วย
- การอัลตราซาวด์ช่องท้อง
- การตรวจซีทีสแกน
- การส่องกล้องและอัลตราซาวด์ทางเดินอาหาร
- การตรวจระบบทางเดินน้ำดีด้วยเอ็มอาร์ไอ
การรักษาตับอ่อนอักเสบ
ผู้ป่วยโรคตับอ่อนอักเสบมักจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เมื่ออาการของผู้ป่วยเริ่มคงที่และควบคุมการอักเสบในตับอ่อนได้แล้ว คุณหมอจึงจะสามารถรักษาสาเหตุที่ทำให้ตับอ่อนอักเสบได้
การรักษาเบื้องต้นเพื่อช่วยควบคุมและบรรเทาอาการโรคตับอ่อนอักเสบ อาจมีดังนี้
- คุณหมอจะให้ผู้ป่วยหยุดรับประทานอาหารเป็นเวลา 2 วัน เพื่อให้ตับอ่อนฟื้นตัว เมื่อเริ่มบรรเทาอาการอักเสบได้แล้ว อาจเริ่มดื่มน้ำและรับประทานอาหารรสจืดได้ และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้ป่วยจะสามารถกลับไปรับประทานอาหารได้ตามปกติ หากตับอักเสบมีอาการเรื้อรังและผู้ป่วยยังคงมีอาการปวดเมื่อรับประทานอาหาร คุณหมออาจให้ใช้สายให้อาหาร เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารตามที่ร่างกายต้องการ
- ยาแก้ปวด ตับอ่อนอักเสบสามารถทำให้เกิดอาการปวดที่รุนแรงได้ การให้ยาแก้ปวดอาจช่วยควบคุมอาการปวดที่เกิดขึ้นได้
- การให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ในขณะที่ร่างกายใช้พลังงานและของเหลวสำหรับฟื้นฟูตับอ่อนอาจมีภาวะขาดน้ำได้ ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องได้รับการให้น้ำเกลือเพิ่มเติมทางหลอดเลือดดำในระหว่างการพักในโรงพยาบาล
เมื่อควบคุมอาการของตับอ่อนอักเสบได้แล้ว จึงจะสามารถรักษาสาเหตุของตับอ่อนอักเสบได้ โดยการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดตับอ่อนอักเสบ เช่น
- การผ่าตัดนำสิ่งอุดกั้นท่อน้ำดีออกไป
- การผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี
- การผ่าตัดตับอ่อน
- การบำบัดอาการติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ตับอ่อนอักเสบเรื้อรังอาจต้องการการรักษาเพิ่มเติม โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของผู้ป่วยแต่ละราย การรักษาอื่น ๆ สำหรับตับอ่อนอักเสบเรื้อรังอาจได้แก่
- การจัดการอาการปวด
- การผ่าตัด
- การเสริมเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ช่วยในการย่อยอาหาร
- การเปลี่ยนแปลงอาหาร
การดูแลตัวเองเพื่อรับมือและป้องกันตับอ่อนอักเสบ
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองดังต่อไปนี้ อาจช่วยจัดการกับโรคตับอ่อนอักเสบ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ได้
- เลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากไม่สามารถเลิกดื่มได้ด้วยตัวเอง ควรขอความช่วยเหลือจากคุณหมอหรือนักบำบัด เพื่อให้ได้รับคำแนะนำหรือโปรแกรมเฉพาะเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้
- เลิกสูบบุหรี่ หากไม่สามารถเลิกได้ด้วยตัวเอง ควรขอความช่วยเหลือจากคุณหมอหรือนักบำบัด
- รับประทานอาหารไขมันต่ำ และเน้นรับประทานผักสด ผลไม้สด ธัญพืชเต็มเมล็ด และโปรตีนปราศจากไขมัน
- ดื่มน้ำให้มากขึ้น เนื่องจากตับอ่อนอักเสบสามารถทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นตลอดทั้งวัน โดยอาจพกขวดน้ำหรือแก้วน้ำติดตัวเสมอ