- 1 เดือนหลังจากได้รับการรักษาโรคเหงือก ค่าความดันโลหิตซิสโตลิก (systolic blood pressure) หรือค่าความดันโลหิตค่าบน ลดลงประมาณ 3 จุดในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคเหงือก แต่สำหรับค่าความดันโลหิตไดแอสโตลิก (diastolic blood pressure) ไม่พบความแตกต่าง
- 3 เดือนหลังจากได้รับการรักษาโรคเหงือก ค่าความดันโลหิตซิสโตลิกลดลงประมาณ 8 จุด และค่าความดันโลหิตไดแอสโตลิกลดลงประมาณ 4 จุดในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคเหงือก
- 6 เดือนหลังจากได้รับการรักษาโรคเหงือก ค่าความดันโลหิตซิสโตลิกลดลงประมาณ 13 จุด และค่าความดันโลหิตไดแอสโตลิกลดลงประมาณ 10 จุดในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคเหงือก
ดังนั้น การรักษา โรคเหงือก จึงอาจช่วยลดความดันโลหิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยงานวิจัยนี้ได้จัดแสดงในงานประชุมวิชาการ American Heart Association’s Scientific Sessions 2017 ที่จัดโดยสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา
วิธีป้องกันโรคเหงือก
การรักษา โรคเหงือก ขึ้นอยู่กับระยะของโรค และสุขภาพร่างกายของคุณ โดยการรักษาโรคเหงือกจะมีตั้งแต่การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด ที่เป็นการควบคุมการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ไปจนถึงการรักษาด้วยการผ่าตัดที่ต้องซ่อมแซมเนื้อเยื่อภายในช่องปาก
การป้องกันโรคเหงือก สามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพช่องปาก ดังต่อไปนี้
- แปรงฟันทุกวัน แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้ง
- พบทันตแพทย์ ควรไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
- บ้วนปาก บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก เพื่อลดแบคทีเรียในช่องปากที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือก
- เลิกบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคเหงือกมากกว่าผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ 7 เท่า
- บรรเทาความเครียด ความเครียดอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ และยากที่จะต่อสู้กับการติดเชื้อ
- กินอาหารที่มีประโยชน์ การได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอจะช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น เพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ นอกจากนี้การกินอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างอาหารที่มีวิตามินอี เช่น ผักใบเขียว และวิตามินซี เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว จะช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อในร่างกาย
- หลีกเลี่ยงการขบฟัน การขบฟันหรือกัดฟันจะทำให้เนื้อเยื่อที่รองรับฟันเกิดความเสียหาย
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย