backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ตรวจโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone Test)

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย ธีรวิทย์ บุญราศรี · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

ข้อมูลพื้นฐาน

การตรวจโกรทฮอร์โมน คืออะไร

การตรวจโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone Test) เป็นการตรวจวัดปริมาณโกรทฮอร์โมน (GH) ในเลือดของมนุษย์ โกรทฮอร์โมนถูกสร้างขึ้นจากต่อมใต้สมอง ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ทั้งยังมีบทบาทสำคัญต่อระบบเผาผลาญของร่างกายด้วย การออกกำลังกาย การนอน ความตึงเครียดทางอารมณ์ และอาหาร สามารถทำให้ปริมาณโกรทฮอร์โมนในเลือดเปลี่ยนแปลงได้ในระหว่างวัน

โกรทฮอร์โมนปริมาณมากเกินไปในวัยเด็กจะทำให้เด็กเจริญเติบโตมากกว่าปกติ (Gigantism) ในขณะที่โกรทฮอร์โมนปริมาณน้อยเกินไปในวัยเด็กจะทำให้เด็กเจริญเติบโตน้อยกว่าปกติ (Dwarfism) แต่ภาวะทั้งสองประการนี้สามารถรักษาได้หากตรวจพบแต่เนิ่นๆ

ในผู้ใหญ่นั้น โกรทฮอร์โมนในปริมาณมากเกินไปเกิดจากมีเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็งบริเวณต่อมใต้สมอง ซึ่งส่งผลให้กระดูกใบหน้า ขากรรไกร มือ และเท้า มีขนาดใหญ่กว่าปกติ (Acromegaly)

โกรทฮอร์โมนทำให้เกิดการปลดปล่อยสารอื่นๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและระบบเผาผลาญของร่างกาย หนึ่งในสารเหล่านี้ คือ ตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลิน (Insulin-like growth factor 1 หรือ IGF-1) เมื่อระดับโกรทฮอร์โมนมีค่าสูงมาก ระดับ IGF-1 ก็จะสูงมากด้วยเช่นกัน โดยอาจมีการตรวจหา IGF-1 ร่วมด้วยเพื่อยืนยันระดับโกรทฮอร์โมนที่สูงขึ้น

ความจำเป็นในการ ตรวจโกรทฮอร์โมน

การตรวจโกรทฮอร์โมนมักทำในเด็กที่มีสิ่งบ่งชี้และอาการของภาวะขาดโกรทฮอร์โมน (growth hormone deficiency (GHD)  เช่น

  • อัตราการเจริญเติบโตที่ช้าลงในวัยเด็กตอนต้น
  • ความสูงน้อยกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน
  • เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ช้ากว่าปกติ
  • การเจริญเติบโตของกระดูกช้า โดยสามารถะระบุได้จากการเอ็กซเรย์

การตรวจโกรทฮอร์โมนอาจจำเป็นสำหรับผู้ใหญ่เมื่อมีสิ่งบ่งชี้และอาการของภาวะขาดโกรทฮอร์โมน ภาวะต่อมใต้สมองทำงานต่ำ  เช่น

  • ความหนาแน่นของกระดูกลดลง
  • อ่อนเพลีย
  • การเปลี่ยนแปลงของระดับไขมันที่เป็นอันตราย เช่น คอเลสเตอรอลสูง
  • ความอึดในการออกกำลังกายน้อยลง

ข้อควรรู้ก่อนตรวจ

ข้อควรรู้ก่อนเข้ารับก่อน ตรวจโกรทฮอร์โมน

เนื่องจากโกรทฮอร์โมนถูกปล่อยจากต่อมใต้สมองในปริมาณมาก การวัดระดับโกรทฮอร์โมนโดยการเก็บตัวอย่างแบบการสุ่มมักไม่มีประโยชน์มากนัก เพราะอาจมีการทับซ้อนกันระหว่างผลการตรวจที่ผิดปกติและการแปรผันประจำวันตามปกติ โดยปกติแล้ว ระดับโกรทฮอร์โมนมักจะสูงขึ้นในช่วงเช้า ช่วงออกกำลังกาย หรือช่วงที่เครียด

ปัจจัยที่มีผลต่อการตรวจโกรทฮอร์โมน ได้แก่

  • ยาที่สามารถเพิ่มโกรทฮอร์โมน เช่น ยาแอมเฟตามีน (amphetamines) ยาอาร์จีนีน (arginine) ยาโดพามีน (dopamine) ยาเอสโตรเจน (estrogens) ยากลูคากอน (glucagon) ยาฮิสตามีน (histamine) อินซูลิน (insulin) ยาเลโวโดพา (levodopa) ยาเมทิลโดพา (methyldopa) กรดไนโคตินิค (nicotinic acid)
  • ยาที่สามารถลดโกรทฮอร์โมน เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) ฟีโนไทอาซีน (phenothiazines)

ส่วนใหญ่ คนที่มีความสูงน้อยมักไม่ได้เกิดจากภาวะพร่องโกรทฮอร์โมน (GH deficiencies) แต่สัมพันธ์กับลักษณะสืบสายพันธุ์ของครอบครัว โรค ภาวะต่างๆ และอาการผิดปกติทางพันธุกรรมอื่นๆ

ขั้นตอนการตรวจ

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจโกรทฮอร์โมน

การตรวจโกรทฮอร์โมนมีอยู่หลายรูปแบบ การเตรียมตัวและขั้นตอนในการตรวจนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของการตรวจ คุณจึงควรสอบถามข้อมูลจากแพทย์ เพื่อจะได้เตรียมตัวได้อย่างถูกต้อง แต่โดยทั่วไปแล้ว ก่อนเข้ารับการตรวจโกรทฮอร์โมน แพทย์อาจให้คุณปฏิบัติดังต่อไปนี้

  • งดอาหารก่อนตรวจ (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับแพทย์กำหนด)
  • หยุดกินอาหารเสริมวิตามินบี 7 หรือไบโอติน อย่างน้อย 12 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการตรวจ
  • หยุดกินยาตามแพทย์สั่งบางชนิดเป็นเวลา 2-3 วันก่อนเข้ารับการตรวจ เพราะยาอาจทำให้ผลการตรวจออกมาไม่ตรงได้

ขั้นตอนการตรวจโกรทฮอร์โมน

เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ทำการเจาะเลือดจะดำเนินการต่อไปนี้

  • รัดยางรอบต้นแขนเพื่อหยุดการไหลเวียนของเลือด หลอดเลือดด้านล่างยางรัดจะขยายตัวขึ้น ทำให้เจาะหลอดเลือดได้ง่ายขึ้น
  • ทำความสำอาดบริเวณที่เจาะเลือดด้วยแอลกอฮอล์
  • เจาะเข็มเข้าไปในหลอดเลือด อาจจำเป็นต้องเจาะมากกว่าหนึ่งครั้ง
  • ติดหลอดบรรจุเลือดเข้ากับเข็มเจาะเลือด
  • นำยางรัดออกจากแขนเมื่อเก็บเลือดเพียงพอแล้ว
  • วางผ้าก๊อซหรือก้อนสำลีไว้บนบริเวณที่เจาะเลือดในขณะที่ดึงเข็มออก
  • กดบริเวณที่เจาะเลือดแล้วปิดด้วยผ้าพันแผล

หากแพทย์พบว่าระดับโกรทฮอร์โมนของคุณอาจผิดปกติ แพทย์อาจแนะนำให้มีการตรวจเพิ่มเติม เช่น

  • การตรวจตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลิน (Insulin-like growth factor 1 test)
  • การทดสอบการหยุดยั้งโกรทฮอร์โมน (Growth hormone suppression test)
  • การทดสอบด้วยการกระตุ้นโกรทฮอร์โมน (Growth hormone stimulation test)

หลังการตรวจโกรทฮอร์โมน

การรัดยางที่ต้นแขนอาจแน่นมาก จนคุณอาจรู้สึกเจ็บแขนได้บ้าง แต่คุณอาจไม่รู้สึกใดๆ จากเข็มเจาะ หรือคุณอาจรู้สึกได้ถึงการเจาะหรือการบิดอย่างรวดเร็ว

หากคุณมีคำถามใดๆ เกี่ยวกับการตรวจโกรทฮอร์โมน โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจคำแนะนำสำหรับคุณได้ดีขึ้น

ผลการตรวจ

ผลการตรวจโกรทฮอร์โมน

ค่าปกติ

ค่าปกติที่ระบุไว้ ณ ที่นี้ ซึ่งเรียกว่า ค่าอ้างอิง (reference range) เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น ค่าเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปตามห้องปฏิบัติการ และห้องปฏิบัติการของคุณอาจมีค่าปกติที่แตกต่างออกไป รายงานจากห้องปฏิบัติการควรมีช่วงค่าที่ห้องปฏิบัติการของคุณใช้

นอกจากนี้ แพทย์จะประเมินผลการตรวจของคุณโดยยึดตามสุขภาพของคุณและปัจจัยอื่นๆ นั่นหมายความว่า ค่าที่อยู่นอกเหนือจากค่าปกติที่ระบุไว้ ณ ที่นี้ อาจยังคงเป็นค่าปกติสำหรับคุณและห้องปฏิบัติการของคุณ

ค่าปกติของโกรทฮอร์โมน

  • ผู้ชาย : น้อยกว่า 5 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร (ng/mL) (น้อยกว่า226 พิโกโมลต่อลิตร [pmol/L])
  • ผู้หญิง : น้อยกว่า 10 ng/mL (น้อยกว่า 452 pmol/L)
  • เด็ก : น้อยกว่า 20 ng/mL (น้อยกว่า 904 pmol/L)

ค่าโกรทฮอร์โมนสูง

ค่าโกรทฮอร์โมนสูงสามารถบ่งบอกถึงสภาพร่างยักษ์ (gigantism) หรือสภาพโตเกินไม่สมส่วน (acromegaly) ได้ภาวะเหล่านี้เกิดจากก้อนเนื้อที่ไม่ใช่มะเร็งในต่อมใต้สมอง (adenoma) ซึ่งทำให้ระดับของตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลิน (Insulin-like growth factor 1) มีค่าสูงเช่นกัน

ระดับโกรทฮอร์โมนสูงอาจเกิดจากโรคเบาหวาน โรคไต หรือความอดอยาก แต่ภาวะเหล่านี้ไม่ทำให้ระดับตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลินสูงขึ้น

ค่าต่ำ

โกรทฮอร์โมนในระดับต่ำอาจแสดงถึง

  • ภาวะขาดโกรทฮอร์โมน หมายถึงภาวะต่อมใต้สมองทำงานต่ำ (ต่อมใต้สมองทำงานได้น้อย)

ค่าปกติสำหรับการตรวจโกรทฮอร์โมน อาจมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับห้องปฏิบัติการและโรงพยาบาล หากมีคำถามใดๆ เกี่ยวกับผลการตรวจ โปรดปรึกษาแพทย์

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย ธีรวิทย์ บุญราศรี · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา