ขาร้อน เบาหวาน สัญญาณของภาวะเบาหวานลงเท้า

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย เนตรนภา ปะวะคัง


เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 30/03/2023

    ขาร้อน เบาหวาน สัญญาณของภาวะเบาหวานลงเท้า

    ขาร้อน เบาหวาน เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะปลายประสาทอักเสบ (Peripheral Neuropathy) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังจากโรคเบาหวาน ผู้ป่วยอาจรู้สึกขาร้อนวูบวาบ ร่วมกับมีอาการอื่น ๆ เช่น ปวดแปลบเหมือนไฟช็อตที่ขา ปวดแสบปวดร้อนที่ขา ขาชา แผลที่ขาหายช้า ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาอย่างเหมาะสม อาการอาจรุนแรงถึงขั้นต้องตัดขาหรือเท้าได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงควรใส่ใจ หมั่นสังเกตความผิดปกติที่เท้า และดูแลเท้าให้ดีอยู่เสมอ หากพบอาการผิดปกติควรรีบเข้าพบคุณหมอ

    ขาร้อน เบาหวาน เกิดจากอะไร

    อาการขาร้อน เบาหวาน มักเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะปลายประสาทอักเสบ หรือที่นิยมเรียกกันว่า เบาหวานลงเท้า ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังของโรคเบาหวาน เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปจนทำให้เส้นประสาทเสียหายอย่างหนัก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นร่วมกับภาวะหลอดเลือดเสียหายจนทำให้เลือดบริเวณขาและเท้าไหลเวียนไม่สะดวก จึงขาดออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อ ส่งผลให้เสี่ยงเกิดแผลหรือติดเชื้อที่เท้าได้ง่ายกว่าปกติ และแผลหายได้ช้า หากอาการรุนแรงมาก คุณหมออาจจำเป็นต้องตัดนิ้วเท้า เท้า หรือขาบางส่วนออก เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายและรักษาอวัยวะส่วนที่เหลือเอาไว้

    ปัจจัยเสี่ยงของภาวะเบาหวานลงเท้า

    ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดเบาหวานลงเท้า อาจมีดังนี้

    • มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าเกณฑ์เป้าหมาย หรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นเป็นประจำ
    • เป็นโรคเบาหวานมานานหลายปี
    • มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ หรือเป็นโรคอ้วน
    • อายุ 40 ปีขึ้นไป
    • มีภาวะความดันโลหิตสูง
    • มีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง

    อาการ ขาร้อน เบาหวาน

    อาการขาร้อน เบาหวาน อาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่น ๆ ดังนี้

    • รู้สึกเสียวแปลบเหมือนมีเข็มทิ่มที่เท้า
    • เท้าชา
    • รู้สึกปวดตื้อ ๆ หนึบ ๆ บริเวณเท้า
    • เท้าไม่มีเหงื่อออก
    • เท้าบวม
    • เป็นตะคริวที่น่องขณะเดินหรืออยู่เฉย ๆ
    • เท้าหรือขาสูญเสียความรู้สึก ไม่รู้สึกเจ็บปวด ร้อน หรือเย็นอีกต่อไป
    • แผลที่เท้าหายช้า หรือไม่หายแม้ว่าจะผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว

    วิธีรักษาอาการ ขาร้อน เบาหวาน

    การรักษาอาการขาร้อน เบาหวาน อาจทำได้ด้วยการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายดังวิธีต่อไปนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติม

    • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เน้นอาหารจากธัญพืชไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ และลดการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมและน้ำตาลสูง
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะทำให้หลอดเลือดตีบตันจนขัดขวางการไหลเวียนเลือดไปยังเท้า
    • รับประทานยารักษาเบาหวานตามที่คุณหมอสั่งและปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด
    • วัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำทุกวัน เพื่อติดตามประสิทธิภาพของแผนการรักษาโรคเบาหวาน หากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าเกณฑ์เป้าหมายบ่อยครั้ง ควรปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลตัวเอง หรือปรึกษาคุณหมอเพิ่มเติม

    วิธีดูแลเท้าอย่างเหมาะสมสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

    การดูแลเท้าด้วยวิธีต่อไปนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะเบาหวานลงเท้าได้

    • หลังอาบน้ำหรือล้างเท้า ควรซับขาและเท้าให้แห้ง และหมั่นตรวจสุขภาพและอาการผิดปกติของเท้าเป็นประจำทุกวัน หากพบว่าเท้ามีบาดแผล รอยแดง บวม แผลพุพอง ตาปลา หนังหนาด้าน ควรปรึกษาเภสัชกรหรือคุณหมอเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
    • หลีกเลี่ยงการแช่น้ำอุ่น หรือการประคบร้อนที่เท้า เพราะประสาทรับความรู้สึกอาจช้าลง จนไม่รู้สึกเมื่อผิวหนังแสบร้อน หรือพอง
    • สวมรองเท้าที่พอดีเท้า ไม่รัดเกินไปจนทำให้เจ็บเท้า หรือหลวมเกินไปจนทำให้เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ และควรสวมถุงเท้าด้วยเสมอ
    • หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า เพราะอาจเสี่ยงติดเชื้อหรือเกิดแผลได้ง่าย
    • หลังล้างเท้าควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ทั่วบริเวณเท้าและฝ่าเท้า เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง แต่ควรเว้นบริเวณซอกเท้า เพราะอาจทำให้อับชื้นและติดเชื้อได้ง่าย
    • หากมีตาปลาหรือหนังหนาด้าน ไม่ควรกำจัดหรือตัดออกเอง ควรให้คุณหมอผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้รักษา
    • ไปพบคุณหมอตามนัดและเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำปีทุกปี โดยเฉพาะหากมีปัญหาเส้นประสาทเสียหาย เพื่อรับการตรวจประสาทการรับรู้ความรู้สึกและการไหลเวียนเลือดบริเวณเท้า
    • ขยับร่างกายเป็นประจำ หรืออยู่ในอิริยาบถที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี เช่น ยกเท้าขึ้นขณะนั่ง กระดิกนิ้วบ่อย ๆ ครั้งละประมาณ 2-3 นาที หากรู้สึกปวดเมื่อยหรือเท้าและขาชา ควรลุกเดินหรือเปลี่ยนท่า
    • ออกกำลังกายด้วยกิจกรรมที่ไม่เสี่ยงทำให้เท้าบาดเจ็บ เช่น การเดิน การว่ายน้ำ การปั่นจักรยาน และอาจปรึกษาคุณหมอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเท้าอย่างเหมาะสม

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    เนตรนภา ปะวะคัง


    เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 30/03/2023

    โฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    โฆษณา
    โฆษณา
    โฆษณา