การคลอดลูก มีทั้งการคลอดแบบธรรมชาติและการผ่าคลอด ซึ่งคุณหมออาจต้องพิจารณาสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์ ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการคลอดที่เหมาะสมหากคุณแม่สังเกตพบสัญญาณเตือนการคลอดลูก เช่นเจ็บท้อง น้ำคร่ำไหล ควรรีบเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อทำการคลอดทันที
[embed-health-tool-due-date]
การคลอดลูก มีกี่แบบ
การคลอดลูกมีด้วยกัน 2 แบบ ดังนี้
การคลอดลูกแบบธรรมชาติ
เป็นวิธีการเบ่งคลอดลูกโดยไม่ใช้การผ่าตัด อาจมีการควบคุมลมหายใจเป็นจังหวะ เพื่อช่วยเพิ่มแรงในการเบ่งลูกออกมา การคลอดลูกแบบธรรมชาติอาจใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาวะสุขภาพของคุณแม่ การคลอดลูกแบบธรรมชาติมีหลายเทคนิคด้วยกันทั้งการคลอดลูกตามปกติ และการคลอดลูกในอ่างน้ำ เพื่อช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลาย และลดการบาดเจ็บ
การคลอดลูกแบบธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 คือระยะหดตัวและขยายตัวของมดลูก คุณแม่อาจรู้สึกว่ามดลูกมีการหดและขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 3-10 นาที ซึ่งอาจต้องรอจนกว่าจะปากมดลูกขยายกว้างถึง 10 เซนติเมตร เพื่อให้พอดีกับขนาดศีรษะของลูก จึงจะเริ่มทำการเบ่งคลอดคุณแม่อาจรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อมีการหดตัวและขยายตัวของช่องคลอด บางคนอาจมีสารคัดหลั่งสีใส หรือมีเลือดออกมาเล็กน้อย คุณแม่อาจบรรเทาอาการเจ็บปวดและทำตัวให้ผ่อนคลายมากขึ้น ด้วยการเปิดฟังเพลงสบาย ๆ อาบน้ำ ลุกขึ้นเดิน
- ระยะที่ 2 คือระยะที่ปากมดลูกขยายตัวเตรียมพร้อมคลอด เมื่อปากมดลูกขยายถึง 10 เซนติเมตร คุณหมอจะเริ่มให้คุณแม่กำหนดลมหายใจเข้า-ออก เพื่อเบ่งทารก ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง เมื่อศีรษะทารกโผล่ คุณหมอจะให้คุณแม่หยุดเบ่งและหายใจเข้าสั้น ๆ ทางจมูกและหายใจออกทางปาก เพื่อให้ทารกคลอดออกมาอย่างช้า ๆ ป้องกันช่องคลอดฉีกขาด
- ระยะที่ 3 คือระยะการคลอด หลังจากที่ทารกคลอดมา คุณหมอจะเย็บแผลบริเวณปากช่องคลอด และอาจนวดท้องหน้าคุณแม่เพื่อช่วยกระตุ้นให้มดลูกหดตัวและขจัดรกที่ตกค้างออก ทำให้เลือดไหลน้อยลง
การผ่าคลอด
เป็นวิธีการทำคลอดในกรณีที่คุณแม่ต้องการกำหนดวันคลอดของลูก หรือคุณแม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ทารกไม่กลับหัว ปากมดลูกขยายไม่เพียงพอ สายสะดือย้อย รกเกาะต่ำ โดยคุณหมออาจเริ่มจากการทำความสะอาดหน้าท้อง และใส่สายสวนเข้าไปทางกระเพาะปัสสาวะเพื่อดูดปัสสาวะออก บางคนอาจผ่าตัดโดยการวางยาสลบ หรืออาจบล็อกหลังเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด จากนั้นจึงจะใช้มีดผ่าตัดกรีดตั้งแต่สะดือลงมาเป็นเส้นตรง หรือกรีดเป็นแนวยาวบริเวณท้องน้อย นำทารกออกจากท้อง จากนั้นจึงเย็บปิดแผลให้เรียบร้อย โดยปกติการผ่าคลอดมักใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที
สัญญาณการคลอดลูก
สัญญาณเตือนเมื่อใกล้คลอด สังเกตได้ดังนี้
- ปวดหลัง
- ปวดท้องหรือท้องแข็งเป็นพัก ๆ
- น้ำคร่ำไหล
- มีมูกเลือดออกทางช่องคลอด เนื่องจากปากมดลูกเริ่มเปิดขยาย
- ปวดหน่วงบริเวณช่องคลอด เนื่องจากศีรษะทารกดันบริเวณอุ้งเชิงกราน
- รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง เนื่องจากศีรษะทารกกดทับลำไส้
ความเสี่ยงหลังการคลอด
ความเสี่ยงหลังการคลอดที่พบบ่อย คืออาการตกเลือด ซึ่งเป็นภาวะที่มีเลือดออกทางช่องคลอดมากกว่าปกติ ปกติแล้วมดลูกจะหดตัวเพื่อขจัดรกออกมาจากช่องคลอด แต่หากมดลูกไม่หดตัว เลือดที่อยู่ในบริเวณรกจะไหลออกมาในปริมาณมากนำไปสู่การตกเลือด ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดปกติ เสี่ยงเกิดอาการช็อก และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้หรือเกิดการบาดเจ็บ
นอกจากนี้ ยังอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณเยื่อบุโพรงมดลูก กล้ามเนื้อมดลูก และรอบ ๆ มดลูก หากสังเกตว่ามีไข้ อาการหนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดท้องน้อย มดลูกบวม ตกขาวมีกลิ่น หัวใจเต้นเร็ว ควรพบคุณหมอทันที เพื่อรับการรักษาและลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด ลิ่มเลือดในอุ้งเชิงกราน เส้นเลือดอุดตัน
การดูแลตัวเองหลังคลอดลูก
การดูแลตัวเองหลังคลอด มีดังนี้
- พักผ่อนให้มาก ๆ เพื่อฟื้นฟูให้ร่างกายกลับมาแข็งแรง อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงดูทารกแรกเกิดอาจทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อย คุณแม่อาจขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างในการช่วยดูแลลูก เพื่อไม่ให้เหนื่อยล้ามากเกินไปจนเสียสุขภาพ
- ออกกำลังกายในระดับเบาด้วยการเดิน เพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน กระชับกล้ามเนื้อส่วนแขนและขา และอาจช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงไวขึ้น
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ผักใบเขียว พืชตระกูลถั่ว ผลไม้ น้ำผลไม้ ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เพื่อช่วยให้ฟื้นตัวหลังการคลอดลูก
- งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลคลอดจะหาย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำตามที่คุณหมอกำหนด นอกจากนี้ หากสังเกตว่ามีไข้ เลือดออกมาก มีอาการเจ็บปวด เบื่ออาหาร เหนื่อยล้า ซึมเศร้า หรือแผลบวม ควรเข้าพบคุณหมอทันที