การตั้งครรภ์ในช่วงเดือนที่ 9 หรือสัปดาห์ที่ 37 ถือว่าเข้าสู่ระยะใกล้คลอด ในระยะนี้ คุณแม่อาจมีอาการ เช่น ปวดศีรษะ ปวดหลัง กรดไหลย้อน ท้องผูก นอนไม่หลับ จนรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งอาการเหล่านี้พบได้บ่อยในช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์ สำหรับคุณแม่ที่กำลัง ท้อง 37 สัปดาห์ อาการใกล้คลอด ที่ควรสังเกต เช่น ปวดท้อง มีมูกเลือดออกจากช่องคลอด ปวดหลังอย่างรุนแรง ถุงน้ำคร่ำแตก หากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบคุณหมอที่ดูแลครรภ์ให้เร็วที่สุดเพื่อรับการดูแลอย่างเหมาะสมและคลอดบุตรอย่างปลอดภัย
[embed-health-tool-due-date]
ท้อง 37 สัปดาห์ อาการใกล้คลอด เป็นอย่างไร
หากคุณแม่ท้อง 37 สัปดาห์มีอาการที่เป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้คลอดดังต่อไปนี้ ควรไปพบคุณหมอโดยเร็วที่สุด
-
ปวดท้อง
ช่วงใกล้คลอดคุณแม่อาจมีอาการท้องแข็งและปวดท้องเนื่องจากการมดลูกหดรัดตัวบ่อยครั้ง หากลองเปลี่ยนท่าทางหรือทำกิจกรรม เช่น เดินเล่น ดื่มน้ำ เพื่อบรรเทาอาการปวดแล้ว แต่อาการปวดไม่หายไป ซ้ำยังปวดท้องถี่และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และมีอาการครั้งละไม่ต่ำกว่า 60 วินาที ทุก ๆ 5 นาที อาจเป็นสัญญาณว่าทารกในครรภ์เคลื่อนตัวมาที่ปากมดลูกและกำลังเข้าสู่ระยะคลอด
-
มีมูกเลือดไหลออกจากช่องคลอด
ขณะตั้งครรภ์ ร่างกายจะสร้างชั้นมูกเหนียว (Mucus plug) ปิดปากมดลูกไว้เพื่อป้องกันมดลูกและเด็กในครรภ์จากเชื้อโรคและการติดเชื้อจากภายนอก เมื่อเข้าสู่ระยะใกล้คลอด ปากมดลูกจะเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด มูกดังกล่าวจะไหลออกมาจากช่องคลอด ในลักษณะเป็นเส้นมูกเหนียวข้นคล้ายเสมหะยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร มักจะมีสีปนเลือด ไม่ใส
น้ำคร่ำแตกเป็นอีกสัญญาณของภาวะใกล้คลอด อาจเกิดขึ้นก่อนการคลอดหรือระหว่างการคลอดก็ได้ สาเหตุเกิดจากเนื้อเยื่ออ่อนแรงลงตามธรรมชาติ แรงหดตัวของมดลูก และแรงดันจากทารกในครรภ์ ทำให้ถุงน้ำคร่ำที่ห่อหุ้มตัวทารกไว้แตกออก ลักษณะของภาวะถุงน้ำคร่ำแตกในแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป ที่พบได้บ่อย เช่น
- น้ำคร่ำค่อย ๆ ไหลออกมาจากช่องคลอดอย่างต่อเนื่อง
- น้ำคร่ำไหลออกมาเป็นหยด ๆ สามารถใช้ผ้าอนามัยรองรับไว้ได้ชั่วคราว
- น้ำคร่ำพุ่งออกมารวดเร็วเหมือนปัสสาวะ
- น้ำคร่ำไหลออกจากช่องคลอดแบบมา ๆ หยุด ๆ
-
ปวดหลัง
อาการปวดหลังอย่างรุนแรงเป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงใกล้คลอด เกิดจากทารกในครรภ์เคลื่อนตัวผ่านบริเวณกระดูกสันหลังของคุณแม่ไปยังช่องคลอด เมื่อศีรษะของทารกสัมผัสกับกระดูกก้นกบของคุณแม่ ก็จะทำให้คุรแม่ปวดหลังบริเวณบั้นเอวได้
-
อยากขับถ่ายบ่อยขึ้น
เมื่อทารกในครรภ์เคลื่อนตัวลงต่ำผ่านกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ่อาจไปกดทับเส้นประสาทบริเวณนั้น ทำให้คุณแม่รู้สึกอยากขับถ่ายบ่อยขึ้น อีกทั้งในช่วงใกล้คลอดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ที่กระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัว ส่งผลให้คุณแม่อาจขับถ่าย หรือมีอาการท้องเสียก่อนและขณะคลอดบุตร ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้
พัฒนาการของทารกในครรภ์ในช่วงสัปดาห์ที่ 37
ทารกในครรภ์อายุครรภ์ 37 สัปดาห์จะมีขนาดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าประมาณ 48.6 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 2.9 กิโลกรัม ในช่วงนี้ ทารกในครรภ์จะมีพัฒนาการทางร่างกายค่อนข้างสมบูรณ์และเตรียมพร้อมลืมตาดูโลกแล้ว ผิวหนังของทารกจะเป็นสีชมพูและเหี่ยวย่นน้อยลง ส่วนใหญ่ปอดจะพัฒนาเต็มที่ และมีแรงกำมือได้แล้ว อีกทั้งทารกยังเรียนรู้ที่จะทำสีหน้าได้หลากหลาย เช่น ขมวดคิ้ว ยิ้ม คุณแม่สามารถสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ได้อย่างชัดเจน ระบบย่อยอาหารและลำไส้ของทารกในครรภ์อายุครรภ์ 37 สัปดาห์จะผลิตขี้เทา (Meconium) ซึ่งเป็นของเสียในลำไส้ของทารก ลักษณะเป็นสารเหนียวสีเขียวที่จะกลายมาเป็นอุจจาระครั้งแรกเมื่อทารกลืมตาดูโลก บางครั้งขี้เทาอาจมีขนอ่อนที่ปกคลุมผิวหนังของทารกตั้งแต่ช่วงแรกของการตั้งครรภ์ผสมอยู่ด้วย
อาการของคนท้อง 37 สัปดาห์
อาการของคนท้อง 37 สัปดาห์ อาจมีดังนี้
- ปวดศีรษะ อาจเกิดจากระดับฮอร์โมนและปริมาณเลือดในร่างกายที่เพิ่มขึ้น ทั้งยังอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การขาดคาเฟอีน การนอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียดของร่างกายจากการแบกรับน้ำหนักของทารกในครรภ์
- ปวดหลัง ในช่วงตั้งครรภ์ระยะสุดท้าย เส้นเอ็นในร่างกายของคุณแม่จะนุ่มและยืดหยุ่นขึ้นตามธรรมชาติเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด ซึ่งอาจส่งผลให้ข้อต่อของหลังส่วนล่างและกระดูกเชิงกรานตึง และทำให้เกิดอาการปวดหลังได้
- อาหารไม่ย่อยและกรดไหลย้อน ทารกในครรภ์ที่กำลังเติบโตจะกดทับบริเวณท้องจนอาจทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย อีกทั้งการคลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างที่กั้นระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารยังอาจทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาจนมีอาการแสบร้อนกลางอก ท้องอืด แน่นท้อง เป็นต้น
- มีปัญหาด้านการนอนหรือนอนไม่หลับ อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความกังวลเกี่ยวกับการคลอดที่ใกล้เข้ามา ทารกในครรภ์ขยับตัวบ่อยและคุณแม่สัมผัสแรงเตะของทารกได้ชัดเจนขึ้น ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป อาการปวดท้องและไม่สบายตัวเนื่องจากหน้าท้องขยายใหญ่เต็มที่
- ท้องอืดและท้องผูก ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงตั้งครรภ์นอกจากจะส่งผลให้มดลูกคลายตัวแล้ว ยังส่งผลต่อกล้ามเนื้อในระบบย่อยอาหาร ทำให้ย่อยอาหารได้ช้าลง จนทำให้เกิดอาการท้องอืด ซึ่งอาจนำไปสู่อาการท้องผูกได้ เนื่องจากมีอาหารค้างอยู่ในลำไส้นานกว่าปกติ
- รู้สึกร้อน ช่วงตั้งครรภ์ ระบบไหลเวียนโลหิตจะทำงานหนักขึ้น และส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นตามไปด้วย จนอาจทำให้คุณแม่รู้สึกร้อนกว่าปกติได้
- วิงเวียนศีรษะ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นจะไปกระตุ้นการไหลเวียนเลือดจากคุณแม่ไปยังทารกในครรภ์ ส่งผลให้ความดันโลหิตของคุณแม่ลดและเลือดไหลเวียนไปยังสมองของคุณแม่ได้น้อยลง จึงอาจทำให้คุณแม่รู้สึกวิงเวียนศีรษะบ่อยครั้ง
- มือและเท้าบวม อาจเกิดจากมีน้ำส่วนเกินคั่งอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะร่างกายส่วนล่าง
- อาการท้องแข็งเนื่องจากมดลูกบีบรัดตัว (Braxton Hick Contraction) หรือที่เรียกว่า อาการเจ็บท้องหลอก อาการนี้มักไม่รุนแรงและหายไปได้เอง เป็นอาการที่ไม่ใช่สัญญาณของการคลอดบุตร
- อาการปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย อาจเริ่มมีอาการตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 2 หรือประมาณเดือนที่ 6 ของการตั้งครรภ์
- ผิวแตกลาย การขยายตัวและหดตัวอย่างรวดเร็วและฉับพลันของผิวหนังบริเวณหน้าท้องมักทำให้เซลล์ผิวหนังแตกตัวและเส้นใยคอลลาเจนถูกทำลาย ผิวหนังบริเวณที่ยืดออกจะกลายเป็นลายเส้นสีชมพูอ่อน ๆ ที่อาจหนาขึ้นตามอายุครรภ์และขนาดของหน้าท้อง หากทิ้งไว้เป็นเวลานานรอยแตกอาจกลายเป็นร่องสีขาวถาวรได้