backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ลูกท้องผูก สาเหตุ อาการ วิธีรับมือ

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ธีรวิทย์ บุญราศรี · แก้ไขล่าสุด 31/12/2021

ลูกท้องผูก สาเหตุ อาการ วิธีรับมือ

ลูกท้องผูก เป็นปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกกังวลใจ เพราะบางครั้งไม่สามารถช่วยเหลือลูกน้อยได้ โดยส่วนใหญ่เด็กที่มีอาการท้องผูกมักขับถ่ายได้น้อยหรือมีอุจจาระแข็งและแห้ง โดยขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์  และมีอาการปวดขณะขับถ่าย แต่อาจมีอาการอื่นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตด้วยเช่นกัน

คำจำกัดความ

ลูกท้องผูก คืออะไร

ลูกท้องผูก (Constipation in children) เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป เด็กที่มีอาการท้องผูกมักขับถ่ายได้น้อยหรือมีอุจจาระแข็งและแห้ง

ลูกท้องผูก พบบ่อยเพียงใด

ท้องผูกพบได้ทั่วไปในเด็ก โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

อาการ

อาการลูกท้องผูก เป็นอย่างไร

อาการทั่วไป ได้แก่

  • ขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • อุจจาระแข็ง แห้ง และถ่ายยาก
  • อุจจาระมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่มาก
  • มีอาการปวดขณะขับถ่าย
  • ปวดท้อง
  • มีร่องรอยอุจจาระเหลวหรือคล้ายดินเหนียว ในกางเกงชั้นในของเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ว่า อุจจาระไหลย้อนกลับเข้าไปในทวารหนัก
  • อุจจาระแข็งและมีรอยเลือดปน

อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการ โปรดปรึกษาแพทย์

ควรไปพบหมอเมื่อใด

ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการท้องผูกมากกว่า 2 สัปดาห์ หรือเกิดขึ้นร่วมกับอาการดังต่อไปนี้

  • อาการไข้
  • อาเจียน
  • เลือดปนในอุจจาระ
  • ท้องบวม
  • น้ำหนักลด
  • มีบาดแผลบริเวณผิวหนังโดยรอบทวารหนัก
  • ลำไส้ยื่นออกมาจากทวารหนัก
  • สาเหตุ

    สาเหตุลูกท้องผูก

    สาเหตุที่ลูกท้องผูกที่พบได้มากที่สุด คือ การที่อุจจาระเคลื่อนที่ผ่านทางทางเดินอาหารช้ากว่าปกติ ทำให้อุจจาระแข็งและแห้ง และยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่ทำให้ลูกท้องผูก ซึ่งได้แก่

    • การกลั้นอุจจาระ เด็กอาจไม่ยอมถ่ายอุจจาระเนื่องจากกลัวโถส้วมหรืออยากเล่นต่อ เด็กบางคนมักกลั้นอุจจาระเมื่ออยู่นอกบ้านเนื่องจากไม่สะดวกที่จะเข้าห้องน้ำสาธารณะ การขับถ่ายอุจจาระขนาดใหญ่และแข็งทำให้เด็กรู้สึกเจ็บ และยังอาจมักกลั้นอุจจาระไว้ เมื่อรู้สึกเจ็บเวลาขับถ่าย เด็กก็จะพยายามกลั้นอุจจาระไว้ เพราะไม่อยากเจ็บซ้ำอีก
    • การฝึกการเข้าห้องน้ำ หากเด็กเพิ่งเริ่มฝึกการเข้าห้องน้ำ อาจจะยังขัดขืนและกลั้นอุจจาระไว้ หากเด็กรู้สึกว่าถูกบังคับให้เข้าห้องน้ำจะสร้างนิสัยการขับถ่ายที่ไม่ดีและจะเปลี่ยนแปลงได้ยาก
    • การเปลี่ยนแปลงอาหารที่รับประทาน หากเด็กไม่รับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยและดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ก็ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ นอกจากนี้ การที่เด็กในวัยหนึ่งเปลี่ยนจากการกินอาหารเหลวทั้งหมดมาเป็นอาหารแข็ง ก็มีส่วนทำให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นกัน
    • การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน การเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของเด็ก เช่น การเดินทาง อากาศร้อน หรือความเครียด สามารถส่งผลต่อการขับถ่าย นอกจากนี้ เด็กยังอาจจะมีอาการท้องผูกเมื่อเริ่มไปโรงเรียน
    • การใช้ยา ยาต้านอาการซึมเศร้าบางชนิดและยาอื่นๆ จำนวนมากสามารถทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
    • การแพ้นมวัว การแพ้นมวัวหรือการบริโภคผลิตภัณฑ์จากนม ในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
    • ประวัติครอบครัว เด็กที่มีสมาชิกในครอบครัวมีอาการท้องผูกบ่อย มักมีโอกาสเกิดอาการท้องผูกได้มากขึ้น โดยอาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อม
    • โรคประจำตัว อาการท้องผูกในเด็กบางคนบ่งชี้ถึงอวัยวะผิดรูป ความผิดปกติเกี่ยวกับระบบเผาผลาญ หรือระบบย่อยอาหาร หรือโรคประจำตัวอื่นๆ ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้น้อย

    ปัจจัยเสี่ยง

    ปัจจัยเสี่ยง ลูกท้องผูก

    ลูกท้องผูก มักเกิดขึ้นกับเด็กที่

    • ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวร่างกาย
    • ไม่รับประทานกากใยอาหารอย่างเพียงพอ
    • ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
    • ใช้ยาบางชนิด ซึ่งรวมทั้งยาต้านอาการซึมเศร้าบางชนิด
    • มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อทวารหนักหรือไส้ตรง
    • มีประวัติครอบครัวมีอาการท้องผูก

    การวินิจฉัยและการรักษา

    ข้อมูลที่นำเสนอในที่นี้ ไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

    การวินิจฉัยอาการลูกท้องผูก

    การวินิจฉัยอาการลูกท้องผูก มีวิธีการดังนี้

    • ซักประวัติสุขภาพโดยละเอียด โดยแพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยในอดีตของเด็ก นอกจากนี้ แพทย์ยังจะสอบถามผู้ปกครองเกี่ยวกับอาหารและรูปแบบกิจกรรมทางร่างกายของเด็กด้วย
    • ตรวจร่างกาย การตรวจร่างกายของลูกของคุณจำทำโดยการสอดนิ้วมือที่สวมถุงมือเข้าไปยังทวารหนักเพื่อตรวจหาความผิดปกติต่างๆ หรือตรวจอุจจาระที่อัดแน่นอยู่ อาจมีการตรวจอุจจาระที่พบในไส้ตรงเพื่อหาเลือดปนด้วย

    การทดสอบที่ละเอียดมากขึ้นมักใช้ในกรณีที่มีอาการท้องผูกรุนแรงมากเท่านั้น หากจำเป็น การทดสอบเหล่านี้อาจได้แก่

    • การเอ็กซเรย์ช่องท้อง ทำให้แพทย์เห็นว่ามีการอุดกั้นใดๆ ในช่องท้องของเด็กหรือไม่
    • การตรวจวัดการทำงานของลำไส้ใหญ่และหูรูดทวารหนัก หรือการตรวจการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ ในการตรวจนี้ แพทย์จะใส่สายสวนขนาดเล็กเข้าไปในลำไส้ตรงเพื่อตรวจวัดการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อหูรูดที่ใช้ในการขับถ่าย
    • การสวนแป้งแบเรียม ในการตรวจนี้ จะมีการเคลือบเยื่อบุลำไส้ด้วยสีตรงข้ามกันเพื่อให้มองเห็นภาพของลำไส้ตรง ลำไส้ และบางส่วนของลำไส้เล็กได้อย่างชัดเจนในฟิล์มเอกซเรย์
    • การตรวจตัวอย่างเนื้อเยื่อลำไส้ตรง ในการตรวจนี้ จะมีการนำตัวอย่างเนื้อเยื่อจำนวนเล็กน้อยจากเยื่อบุลำไส้ตรงมาตรวจเพื่อดูว่าเซลล์ประสาทปกติดีหรือไม่
    • การศึกษาจากการเปลี่ยนแปลงหรือการศึกษาจากสารบ่งชี้ ในการตรวจนี้ จะให้เด็กกลืนแคปซูลที่มีสารบ่งชี้ซึ่งจะปรากฏให้เห็นบนฟิล์มเอ็กซเรย์ โดยแพทย์จะวิเคราะห์ว่าการเคลื่อนที่ของสารบ่งชี้ผ่านระบบทางเดินอาหารมีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร
    • การตรวจเลือด ในบางครั้ง อาจมีการตรวจเลือด เช่น การตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์

    การรักษาอาการลูกท้องผูก

    การรักษาขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ โดยแพทย์อาจแนะนำการรักษาดังต่อไปนี้

    • การให้อาหารเสริมกากใยอาหาร หรือยาทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม หากการรับประทานอาหารปกติไม่ได้รับกากใยอาหารที่เพียงพอ อาหารเสริมกากใยอาหารที่มีวางจำหน่ายโดยทั่วไป เช่น เมทามูซิล (Metamucil) หรือไซทรูเซล (Citrucel) อาจช่วยได้ อย่างไรก็ตาม เด็กจำเป็นต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 1 ลิตร ในแต่ละวันเพื่อให้อาหารเสริมดังกล่าวออกฤทธิ์ได้ดี ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณอาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับอายุและน้ำหนักของเด็กด้วย
    • ยาเหน็บทวารกลีเซอริน สามารถใช้เพื่อทำให้อุจจาระอ่อนนนุ่ม หากเด็กไม่สามารถกลืนยาเม็ดได้ โดยควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีที่เหมาะสมในการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
    • ยาถ่ายหรือยาระบาย หากมีการสะสมของสิ่งหมักหมมทำให้เกิดการอุดตัน แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาถ่ายหรือยาระบายเพื่อช่วยกำจัดการอุดตัน ได้แก่ ยาโพลีเอทิลีนไกลคอล (polyethylene glycol) และน้ำมันแร่ชนิดต่างๆ
    • ห้ามให้ยาถ่ายหรือยาระบาย โดยไม่ได้รับการยินยอมและคำแนะนำเกี่ยวกับขนาดการใช้ที่เหมาะสมจากแพทย์
    • การใช้ยาระบายที่โรงพยาบาล ในบางครั้ง เด็กอาจมีอาการท้องผูกรุนแรงมาก จนจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อรับยาระบายที่ออกฤทธิ์แรงขึ้น ซึ่งจะช่วยกำจัดสิ่งตกค้างในลำไส้ได้ เรียกว่าการกำจัดอุจจาระ

    การใช้การรักษาแบบทางเลือก

    นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงอาหารและกิจวัตรประจำวันแล้ว ยังมีทางเลือกอื่นๆ ที่อาจช่วยบรรเทาอาการท้องผูกในเด็ก ได้แก่

    • การนวดเบาๆ ที่ท้องเด็กจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อต่างๆ ที่พยุงกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้
    • วิธีการรักษาทางการแพทย์แผนจีนดั้งเดิม โดยการสอดเข็มขนาดที่เหมาะสมเข้าไปในส่วนต่างๆ ของร่างกาย วิธีการรักษานี้อาจช่วยได้หากเด็กมีอาการปวดท้องที่เกิดจากอาการท้องผูก

    การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเอง

    การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาเพื่อรับมือลูกท้องผูก

    การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการปฏิบัติตนขั้นพื้นฐานดังต่อไปนี้ อาจช่วยให้สามารถจัดการเมื่อลูกท้องได้

    • อาหารที่มีกากใยสูง อาหารที่มีกากใยสูงสามารถช่วยให้ร่างกายของเด็กมีอุจจาระที่อ่อนนุ่มและเป็นก้อน การบริโภคกากใยอาหารที่แนะนำคือ 14 กรัมสำหรับทุกๆ 1,000 แคลอรี่ ในอาหารของเด็ก สำหรับเด็กเล็กนั้น หมายความว่าให้บริโภคกากใยอาหารประมาณ 20 กรัมต่อวัน สำหรับวัยรุ่นหญิงและผู้หญิงวัยสาว ให้บริโภคกากใยอาหาร 29 กรัมต่อวัน และสำหรับวัยรุ่นชายและผู้ชายวัยหนุ่ม ให้บริโภคกากใยอาหาร 38 กรัมต่อวัน ให้ลูกน้อยรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ถั่ว ธัญพืชเต็มเมล็ด ผัก และผลไม้ แต่ให้เริ่มอย่างช้าๆ โดยการเพิ่มกากใยอาหารจำนวนเพียงหลายกรัมต่อวันเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อลดปริมาณก๊าซและอาการท้องอืดที่สามารถเกิดขึ้นในผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการบริโภคอาหารที่มีกากใยสูง
    • ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำและของเหลวอื่นๆ จะช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี ให้ระมัดระวังการให้นมปริมาณมากเกินไปแก่เด็กสำหรับเด็กบางรายนั้น การดื่มนมมากเกินไปทำให้เกิดอาการท้องผูก
    • ใช้เวลาที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นการขับถ่าย กระตุ้นให้เด็กนั่งบนโถส้วมเป็นเวลา 5 ถึง 10 นาที ภายในเวลา 30 นาทีหลังอาหารในแต่ละมื้อ ควรให้ปฏิบัติเป็นกิจวัตรทุกวันแม้ระหว่างวันหยุดและวันหยุดพักผ่อน
    • ให้ความช่วยเหลือ สร้างแรงจูงใจแก่เด็กในการฝึกขับถ่าย โดยอาจให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ แก่เด็กหลังจากที่ขับถ่ายเรียบร้อยแล้ว หรือระหว่างขับถ่าย เช่น สติกเกอร์ หนังสือ หรือเกม ที่ให้หลังจาก และไม่ควรลงโทษหรือตำหนิหากเด็กทำกางเกงชั้นในเลอะเทอะ

    หากมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้นถึงวิธีการรักษาที่ดีที่สุด 

     

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ธีรวิทย์ บุญราศรี · แก้ไขล่าสุด 31/12/2021

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา