backup og meta

วิธีรับมือเมื่อลูกลิ้นเป็นร้อนใน

วิธีรับมือเมื่อลูกลิ้นเป็นร้อนใน

ลิ้นเป็นร้อนใน คือ ภาวะที่มีแผลเปื่อยขนาดเล็กเกิดขึ้นบริเวณลิ้น ลิ้นบวมแดง หรือเป็นสีขาว รวมทั้งบนเนื้อเยื่ออ่อนบริเวณอื่นภายในช่องปากได้ด้วย ทั้งริมฝีปากด้านใน กระพุ้งแก้ม เพดานปาก เหงือก หรือลิ้น เมื่อลิ้นเป็นร้อนในมักทำให้รู้สึกเจ็บหรือแสบ ภาวะนี้พบได้ทั่วไปในคนทุกเพศทุกวัย แต่อาจพบบ่อยในเด็ก เมื่อลูกเป็นร้อนใน คุณพ่อคุณแม่ควรบรรเทาอาการด้วยการให้ลูกดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เป็นต้น โดยทั่วไป ภาวะร้อนในไม่เป็นอันตราย ไม่ติดต่อไปยังบุคคลอื่น และสามารถหายเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากมีอาการรุนแรงขึ้น หรืออาการไม่หายไปภายใน 3 สัปดาห์ ควรพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อเข้ารับการรักษาและวินิจฉัยอาการเพิ่มเติม

[embed-health-tool-vaccination-tool]

ลิ้นเป็นร้อนใน เกิดจากอะไร

สาเหตุที่ทำให้ลิ้นเป็นร้อนในยังไม่แน่ชัดนัก แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้

  • เกิดจากการทำทันตกรรม การแปรงฟันรุนแรงเกินไป การเผลอกัดลิ้น เป็นต้น
  • ติดเชื้อโรคเอชไพโลไร (Helicobacter pylori หรือ H. pylori) ที่เป็นเชื้อเดียวกับแบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้ลิ้นอักเสบ
  • ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อเซลล์ปกติภายในช่องปากแทนการโจมตีเชื้อโรคแปลกปลอมอย่างไวรัสและแบคทีเรีย
  • ใช้ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารโซเดียมลอริลซัลเฟต (Sodium Lauryl Sulfate) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดฟอง แต่มีฤทธิ์ค่อนข้างแรง อาจทำให้เนื้อเยื่อในปากระคายเคืองและทำให้เป็นแผลที่ลิ้นได้
  • ขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก สังกะสี โฟเลตหรือกรดโฟลิก
  • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงในช่วงมีประจำเดือน
  • แพ้อาหารบางชนิด เช่น อาหารรสจัด อาหารที่มีสภาพเป็นกรด (Acidic-forming food) อย่าง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เป็นต้น
  • เป็นโรคเซลิแอค (Celiac Disease) คือ ภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเยื่อบุภายในร่างกายเมื่อรับประทานกลูเตน ซึ่งอาจส่งผลให้ ลิ้นเป็นร้อนในได้
  • เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease) เป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทานต่อทางเดินอาหารและลำไส้ อาจทำให้เกิดร้อนในตั้งแต่บริเวณปากไปจนถึงบริเวณทวารหนัก

อาการของ ลิ้นเป็นร้อนใน

อาการที่แสดงว่าลูกเป็นร้อนในบริเวณช่องปาก อาจมีดังนี้

  • มีแผลขนาดเล็กรูปวงรีที่เป็นขอบสีแดง ตรงกลางเป็นสีขาว
  • ก่อนร้อนในที่ลิ้นจะแสดงอาการ อาจรู้สึกคันหรือแสบร้อน ก่อนจะมีตุ่มผุดขึ้นบนลิ้น เด็กอาจมีอาการงอแงไม่ทราบสาเหตุ
  • อาจพบแผลร้อนในขึ้นเป็นตุ่มเดี่ยว หรือเป็นกลุ่มก้อน ตามตำแหน่งต่าง ๆ ของลิ้น เช่น ปลายลิ้น ใต้ลิ้น กลางลิ้น
  • ลูกอาจรับประทานอาหารได้ช้าลง
  • ลูกอาจร้องไห้งอแงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ลูกอาจแลบลิ้นบ่อย หรือหายใจทางปากมากกว่าทางจมูก บางรายเจ็บลิ้นมากอาจมีปัญหาการกลืนน้ำลาย อาจมีน้ำลายย้อยมากกว่าปกติ
  • ลูกมีปัญหาในการพูด หรือพูดได้ไม่ปกติ เนื่องจากเจ็บปาก

การดูแลช่องปากเมื่อ ลิ้นเป็นร้อนใน

ลิ้นเป็นร้อนในสามารถหายได้เองในเวลาไม่กี่วัน หรือภายใน 1-2 สัปดาห์ หากดูแลและบรรเทาอาการด้วยวิธีต่อไปนี้

  • ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นและไม่ขาดน้ำ ปริมาณน้ำที่เหมาะสมกับเด็กในแต่ละช่วงวัย ได้แก่
    • เด็กอายุ 1-3 ปี ควรดื่มน้ำ (นับรวมปริมาณนมด้วย) วันละไม่ต่ำกว่า 1.3 ลิตร หรือ 5 แก้ว/วัน
    • เด็กอายุ 3-8 ปีควรดื่มน้ำ (นับรวมปริมาณนมด้วย) วันละไม่ต่ำกว่า 1.7 ลิตร หรือ 6 แก้ว/วัน
    • เด็กอายุ 9-13 ปี ควรดื่มน้ำไม่ต่ำกว่า 2.1 ลิตร (ผู้หญิง) และ 2.4 ลิตร (ผู้ชาย) หรือ 8-9 แก้ว/วัน
    • เด็กอายุ 14-18 ปี ผู้หญิงควรดื่มน้ำไม่ต่ำกว่า 2.3 ลิตร และผู้ชายควรดื่มน้ำไม่ต่ำกว่า3 ลิตร หรือ 9-13 แก้ว/วัน
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์กัดกร่อน อาหารที่มีรสเผ็ด เปรี้ยว หรือเค็มจัด เพราะอาจระคายเคืองเหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปากได้
  • รับประทานอาหารเนื้ออ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย เช่น ไก่นึ่ง ไข่ตุ๋น และอาจเลือกเครื่องดื่มหรือของหวานที่เพิ่มความเย็นในร่างกาย และทำให้ชุ่มคอ เช่น ไอศครีม น้ำเก๊กฮวย
  • แปรงฟันให้สะอาดอย่างระมัดระวังและไม่แปรงฟันแรงเกินไป เลือกแปรงสีฟันที่มีขนแปรงนุ่ม ไม่แข็งจนบาดเนื้อเยื่อภายในช่องปากหรือระคายเคืองแผลที่ลิ้น และเลือกยาสีฟันที่ไม่มีส่วนผสมของสารโซเดียมลอริลซัลเฟตหรือแอลกอฮอล์ เพื่อไม่ให้รู้สึกแสบแผล
  • พูดคุยให้น้อยลงในช่วงที่ลิ้นเป็นร้อนใน เพื่อลดอาการระคายเคืองหรือไม่ให้แผลเสียดสีกับพื้นที่ภายในช่องปาก
  • สำหรับเด็กอายุ 7 ปี ขึ้นไป อาจใช้ยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) ชนิดป้ายแผลในปากเพื่อรักษาอาการลิ้นเป็นร้อนใน แนะนำให้ใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด เนื่องจากเด็กมีความไวต่อยาและอาจมีอาการที่ไม่พึงประสงค์ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่

อาการแบบไหนควรไปพบคุณหมอ

เมื่อลิ้นเป็นร้อนใน และอักเสบรุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตตามปกติ เช่น แผลร้อนในใหญ่ผิดปกติ ทำให้ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารได้ลำบาก ควรไปพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ควรหมั่นสังเกตว่าลูกมีอาการร่วมอื่น ๆ ที่มีความรุนแรงหรือไม่ เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคเซลิแอค (Celiac Disease) โรคโครห์น (Crohn’s Disease) ที่ทำให้เกิดแผลร้อนในภายในปาก อาการร่วมเหล่านั้น ได้แก่

  • น้ำหนักลด
  • มีอาการคอแข็งอย่างเห็นได้ชัด
  • มีอาการไข้โดยอย่างไม่ทราบสาเหตุ
  • รู้สึกเหนื่อยล้า
  • ปวดท้อง
  • ท้องเสีย
  • มีเลือดหรือเมือกปนออกมากับอุจจาระ
  • มีแผลที่ขอบทวารหนัก

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

Mouth ulcers. https://raisingchildren.net.au/guides/a-z-health-reference/mouth-ulcers. Accessed November 23, 2022.

Canker sore. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/canker-sore/symptoms-causes/syc-20370615. Accessed November 23, 2022.

Canker sore. https://medlineplus.gov/ency/article/000998.htm. Accessed November 23, 2022.

Mouth ulcers. https://www.nhs.uk/conditions/mouth-ulcers/. Accessed November 23, 2022.

Canker Sores. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/10945-canker-sores. Accessed November 23, 2022.

เวอร์ชันปัจจุบัน

23/11/2022

เขียนโดย ศุภานิช สุริโย

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงอนงค์พร ผาภูมิ

อัปเดตโดย: Duangkamon Junnet


บทความที่เกี่ยวข้อง

ร้อนใน สาเหตุ อาการ และการรักษา

แผลร้อนในในช่องปาก อาการเจ็บปวดที่พบบ่อย จัดการยังไงได้บ้าง


ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

แพทย์หญิงอนงค์พร ผาภูมิ

พ่อแม่เลี้ยงลูก · โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช (ศรีนครินทร์)


เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 23/11/2022

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา