ข้อบ่งใช้
ยาแคปโตพริล + ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ ใช้สำหรับ
ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ (Captopril+Hydrochlorothiazide) ใช้เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง การลดระดับความดันโลหิตสูง สามารถช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหัวใจขาดเลือดฉับพลัน และปัญหาที่ตับได้
ยานี้ประกอบด้วยยาสองชนิด ยาแคปโตพริลและยาไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ ยาแคปโตพริลนั้นเป็นยาในกลุ่มเอซีอี อินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitor) ทำงานโดยการผ่อนคลายผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ง่ายขึ้น ยาไฮโดรคลอโรไทอะไซด์นั้น เป็นยาขับปัสสาวะ (diuretic) ยานี้จะเพิ่มปริมาณการผลิตปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสามารภกำจัดเกลือ และน้ำส่วนเกินออกไปได้
วิธีการใช้ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์
รับประทานยานี้ขณะท้องว่าง 1 ชั่วโมง ก่อนมื้ออาหาร โดยปกติแล้วคือวันละครั้ง หรือตามที่แพทย์สั่ง ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยานี้ภายใน 4 ชั่วโมงก่อนนอน เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตารางการใช้
ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำในร่างกายมากเกินไป หรือภาวะขาดน้ำ หากคุณต้องจำกัดปริมาณการบริโภคของเหลว ควรปรึกษาแนวทางจากแพทย์เพิ่มเติม
หากคุณใช้ยาคอเลสไทรามีน (cholestyramine) หรือคอเลสทิพอล (colestipol) ร่วมด้วย ควรรับประทานยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อน หรืออย่างน้อย 4 ถึง 6 ชั่วโมง หลังจากใช้ยานั้น
ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ และการตอบสนองต่อการรักษา
ผู้ผลิตแนะนำว่าขนาดยาที่ใช้ต่อวันไม่ควรมากกว่า 150 มก.ของยาแคปโตพริล และ 50 มก.ของยาไฮโดรคลอโรไทอะไซด์
ใช้ยานี้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากยา เพื่อให้ง่ายต่อการจำ ควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน อย่าข้ามมื้อยา หรือหยุดใช้ยา เว้นแต่ว่าจะได้รับคำสั่งจากแพทย์ ควรจะใช้ยาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าคุณจะรู้สึกสบายดี ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกป่วย และอาจต้องใช้เวลามากถึง 6-8 สัปดาห์กว่าจะเห็นผลเต็มที่จากยานี้
แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการของคุณแย่ลง (ความดันโลหิตของคุณเพิ่มสูงขึ้น)
การเก็บรักษายาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์
ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นจากแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือตู้เย็น ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์บางยี่ห้อ อาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ลงในชักโครก หรือในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ยาแคปโตพริล หรือยาไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ หรือแพ้ยาในกลุ่มเอซีอี อินฮิบิเตอร์อื่นๆ เช่น อีนาลาพริล (enalapril) หรือลิซิโนพริล (lisinopril) หรือยาไทอะไซด์ (thiazides) อื่นๆ เช่น คลอโรไทอะไซด์ (chlorothiazide) หรือหากคุณมีโรคภูมิแพ้อื่นๆ รวมทั้งอาการแพ้หลังจากสัมผัสกับเยื่อบางชนิด ที่ใช้ในการกรองเลือด ยานี้ยังอาจมีส่วนประกอบที่ไม่ออกฤทธิ์ ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่นๆ ได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดปรึกษากับแพทย์
ไม่ควรใช้ยานี้ หากคุณกำลังมีสภาวะทางการแพทย์บางประการ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรหากคุณมีประวัติการเป็นโรคภูมิแพ้ทั้งอาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น ลำคอ หรืออาการบวมใต้ชั้นผิวหนัง (angioedema) ไม่สามารถปัสสาวะได้
ก่อนใช้ยานี้ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ เกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาต่อไปนี้ ปัญหาเกี่ยวกับไต โรคตับ โรคเกาต์ ภาวะความไม่สมดุลของเกลือ/แร่ธาตุ ที่ไม่ได้รับการรักษา (ความไม่สมดุลของโซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม) ภาวะขาดน้ำ โรคที่เกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพันคอลลาเจน (collagen vascular disease) เช่น โรคลูปัส (lupus) หรือโรคหนังแข็ง (scleroderma) เพิ่งผ่านการผ่าตัดเส้นประสาทมาในเร็วๆ นี้ เช่น การผ่าตัดปมประสาทอัตโนมัติ (sympathectomy)
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการมึนงงหรือง่วงซึม อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว จนกว่าคุณจะแน่ใจว่าสามารถทำได้อย่างปลอดภัย ควรจำกัดปริมาณของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการมึนงงหรือวิงเวียน ควรลุกขึ้นจากท่านั่งหรือนอนอย่างช้าๆ
คุณอาจเกิดภาวะขาดน้ำได้ หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ หรือคุณมีอาการท้องร่วง อาเจียน หรือเหงื่อออกมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้คุณเกิดอาการมึนงงและวิงเวียนได้ เนื่องจากความดันโลหิตต่ำ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก และทำร่างกายให้เย็นในสภาพอากาศร้อน ปรึกษาแพทย์หากคุณไม่สามารถดื่มน้ำได้ หรือหากคุณยังมีอาการท้องร่วงหรืออาเจียนบ่อยๆ
ยานี้อาจส่งผลกระทบกับระดับของโพแทสเซียมได้ โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโพแทสเซียม หรือสารทดแทนเกลือที่มีส่วนประกอบของโพแทสเซียม
ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบว่า คุณกำลังใช้ยานี้อยู่
ยานี้อาจทำให้คุณไวต่อแสงแดดมากขึ้น ควรจำกัดเวลาที่อยู่ใต้แสงแดด หรือการอาบแดด ทาครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้าป้องกันเมื่ออยู่กลางแจ้ง แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณมีอาการไหม้จากแดดหรือมีแผลพุพองหรือรอยแดง
หากคุณเป็นโรคเบาหวาน ยาไฮโดรคลอโรไทอะไซด์อาจส่งผลกระทบกับน้ำตาลในเลือดได้ ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ และแจ้งผลให้แพทย์ทราบ แจ้งแพทย์ในทันที หากคุณมีอาการน้ำตาลในเลือดสูง เช่น กระหายน้ำมากขึ้น หรือปัสสาวะมากขึ้น แพทย์อาจจำเป็นต้องปรับขนาดยาสำหรับโรคเบาหวาน โปรแกรมการออกกำกาย หรืออาหารของคุณ
ผู้สูงอายุอาจจะไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ โดยเฉพาะอาการมึนงงและการเปลี่ยนแปลงของปริมาณปัสสาวะ (ปัญหาเกี่ยวกับโรคไต)
ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจทำอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ โปรดปรึกษากับแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม (ดูเพิ่มเติมในส่วนของคำเตือน)
ยานี้สามารถไหลผ่านน้ำนมแม่ด้วย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการให้นมบุตร
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อชั่งน้ำหนักประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ โดยยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์จัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด D โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X= ห้ามใช้
- N= ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์
อาจเกิดอาการมึนงง วิงเวียน ง่วงซึม ปวดหัว เหนื่อยล้า มองเห็นไม่ชัด สูญเสียการรับรส หรือไอแห้งๆ เนื่องจากร่างกายกำลังปรับตัวให้เข้ากับยา นอกจากนี้คุณยังอาจมีความต้องการทางเพศลดลง หากอาการเหล่านี้ไม่หายไป หรือแย่ลง ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบในทันที
โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากพิจารณาแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงของผลข้างเคียง และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
ยานี้อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และสูญเสียเสียเกลือ/แร่ธาตุมากเกินไป แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณมีอาการของภาวะขาดน้ำ หรือสูญเสียแร่ธาตุ ได้แก่ กระหายน้ำอย่างรุนแรง ปากแห้งมาก เป็นตะคริวหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นเร็ว/ช้า/ผิดปกติ มีอาการสับสน
แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่หายากแต่รุนแรงได้แก่ สัญญาณของการติดเชื้อ เช่น เป็นไข้ หนาวสั่น เจ็บคอบ่อยๆ มีรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย อาการของระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นช้า/ผิดปกติ มีอาการชา/หรือรู้สึกเหมือนเข็ม หรือของมีคมทิ่มตำ/บวมที่มือและเท้า มีอาการปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ การมองเห็นลดลง ปวดตา
ในกรณีที่หายาก ยานี้อาจทำให้เกิดปัญหาที่ตับอย่างรุนแรง (อาจถึงแก่ชีวิต) ควรรับการรักษาในทันที หากคุณสังเกตเห็นผลข้างเคียงที่หายากแต่รุนแรง ได้แก่ ผิวหนังและดวงตาเป็นสีเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม ปวดท้องหรือกระเพาะอย่างรุนแรง เหนื่อยล้าบ่อย คลื่นไส้หรืออาเจียนบ่อย
รับการรักษาในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่หายากแต่รุนแรงมาก ได้แก่ สัญญาณของโรคไต (เช่น มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณปัสสาวะ)
อาการแพ้ที่รุนแรงของยานี้ไม่ค่อยเกิดขึ้น แต่ควรรับการรักษาในทันทีหากเกิดอาการแพ้ที่รุนแรง ได้แก่ ผดผื่น คัน/บวม (โดยเฉพาะใบหน้า ลิ้น ลำคอ แขน ขา) เวียนศีรษะอย่างรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการข้างเคียงอย่างอื่นอีกนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ ได้แก่ ยาอะลิสคิเรน (Aliskiren) ยาซิซาไพรด์ (cisapride) ยาไดอะซอกไซด์ (diazoxide) ยาโดฟีทิไลด์ (dofetilide) ยาที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ/เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ยาเอเวอโรลิมัส (everolimus) ยาไซโรลิมัส (sirolimus) ยาลิเทียม (lithium) ยาโพรเบเนซิด (probenecid) ยาที่อาจเพิ่มระดับของโพแทสเซียมในเลือด เช่นยาบล็อคตัวรับแอนจีโอเทนซิน (ARB) ทั้งยาลอซาร์แทน (losartan) หรือยาวาลซาร์แทน (valsartan) ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของดรอสไพรีโนน (drospirenone) ยาขับปัสสาวะอื่นๆ เช่น ยาอะมิโลไรด์ (amiloride) ยาฟูโรซีไมด์ (furosemide) ไตรแอมเทอรีน (triamterene) การฉีดทองคำ ยาแซคิวบิทริล (sacubitril)
อาการที่รุนแรงอาจจะเกิดขึ้น หากคุณฉีดยาภูมิแพ้ (desensitization) สำหรับอาการแพ้ผึ้งหรือต่อ และยังใช้ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ อย่าลืมแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาที่คุณกำลังใช้
ยาบางชนิดอาจมีส่วนประกอบที่เพิ่มความดันโลหิต หรือทำให้อาการหัวใจวายแย่ลงได้ แจ้งให้เภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาที่คุณกำลังใช้อยู่ และสอบถามความปลอดภัยของการใช้ยานั้น โดยเฉพาะยาแก้ไอแก้ไข้ ยาลดความอ้วน หรือยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่นไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือนาพรอกเซน (naproxen)
ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อผลการทดสอบในห้องแล็บบางประการ อย่าลืมแจ้งให้บุคคลากรในห้องแล็บและแพทย์ทุกคนทราบว่า คุณกำลังใช้ยานี้อยู่
ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์อาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่าคุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนยาโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์อาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์อาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์สำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง
- ขนาดยาเริ่มต้น: ยาแคปโตพริล 25 มก. – ยาไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ 15 มก. รับประทานวันละครั้ง 1 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร
- ขนาดยาสูงสุด: ยาแคปโตพริล150มก. – ยาไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ 50 มก. ต่อวัน
คำแนะนำ
ประสิทธิภาพสูงสุดของยาที่ให้อาจจะยังไม่แสดงผลภายใน 6 ถึง 8 สัปดาห์ การปรับขนาดยาควรทำที่ช่วง 6 สัปดาห์ของการให้ยา นอกเสียจากว่าจะมีสถานการณ์ทางการแพทย์ที่ทำให้ต้องปรับขนาดยาเร็วกว่านั้น
การใช้
เพื่อการรักษาภาวะความดันโลหิตสูงเป็นวิธีการรักษาเริ่มแรก หรือใช้ทดแทนการไทเทรตขนาดยาของตัวยาแต่ละตัวที่เป็นส่วนประกอบในยานี้
การปรับขนาดยาสำหรับไต
- ความบกพร่องของไตระดับไม่รุนแรงหรือปานกลาง (ค่าครีอะตินีนเคลียรานซ์ [CrCl] 30 จนถึงต่ำกว่า 90 มล/นาที): เมื่อได้รับผลการรักษาตามที่ต้องการ ให้เพิ่มช่วงพักยาหรือลดขนาดยาที่ใช้ในแต่ละวันไปจนกระทั่งได้ขนาดยาต่ำสุดที่มีประสิทธิภาพ
- ความบกพร่องของไตระดับรุนแรง (ค่าครีอะตินีนเคลียรานซ์ [CrCl] ต่ำกว่า 30 มล/นาที): ไม่แนะนำ
- หากอาการไตบกพร่องเรื้อรังนั้นชี้ชัดว่าได้เพิ่มค่าของปริมาณไนโตรเจนในเลือด (BUN) หรือไนโตรเจนที่ไม่ใช่โปรตีน (nonprotein nitrogen): ควรพิจารณาการระงับหรือหยุดใช้ยานี้
การปรับขนาดยาสำหรับตับ
ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
คำแนะนำการใช้ยา
ควรใช้ 1 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร
การเก็บรักษา
ป้องกันจากแสง
การเฝ้าระวัง
- การเผาผลาญ: ตรวจเซรั่มอิเล็กโทรไลต์ (Serum electrolytes) เป็นระยะๆ
- ระบบเลือด: ผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง: ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดขาวและการนับแยกชนิดของเม็ดเลือดขาว (differential counts) ก่อนเริ่มการรักษาและประมาณทุกๆ 2 สัปดาห์ ในช่วง 3 เดือนแรก แล้วตามด้วยตรวจเป็นระยะๆ
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย
- แนะนำให้ผู้ป่วยควรรีบรายงาน หากพบสัญญาณหรืออาการบวมใต้ชั้นผิวหนัง (angioedema) เช่น หายใจติดขัด หรือบวมที่ใบหน้า ดวงตา ริมฝีปาก หรือลิ้น และหยุดใช้ยาจนกว่าจะได้ปรึกษาแพทย์แล้ว
- แนะนำให้ผู้ป่วยควรรีบรายงานหากพบสัญญาณของการติดเชื้อ เช่นเจ็บคอ เป็นไข้ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (neutropenia)
- ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการเหงื่ออกมากเกินไป ภาวะขาดน้ำ อาเจียน หรือท้องร่วง เพราะอาจนำไปสู่การลดลงของความดันโลหิตมากเกินไปเนื่องจากการลดลงของระดับของเหลว
- ผู้ป่วยไม่ควรใช้ยาขับปัสสาวะกลุ่มโปแตสเซียม-สแปริ่ง (potassium-sparing) หรือสารทดแทนเกลือที่มีโพแทสเซียมโดยไม่ปรึกษากับแพทย์ก่อน
ขนาดยาแคปโตพริล+ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์สำหรับเด็ก
ยังไม่มีการกำหนดขนาดของยาในผู้ป่วยเด็ก ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ดังนั้น จึงควรทำความเข้าใจกับความปลอดภัยของยาก่อนการใช้ยา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อกับแพทย์หรือเภสัชกร
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาเม็ด
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยาเป็นสองเท่า
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]