ข้อบ่งใช้
ทรามาดอล ใช้สำหรับ
ทรามาดอล (Tramadol) เป็นยาในกลุ่มนาร์โคติค (narcotic analgesics) หรือยาแก้ปวดชนิดเสพติด ใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บ ระดับปานกลางจนถึงรุนแรง โดยตัวยาจะเข้าไปทำงานในสมอง เพื่อเปลี่ยนความรู้สึก และการตอบสนองของร่างกายต่อความเจ็บปวด
วิธีการใช้ยา ทรามาดอล
- รับประทานยาตัวนี้ตามที่แพทย์สั่งทุก ๆ 4 ถึง 6 ชั่วโมง ตามที่ต้องการ สำหรับบรรเทาอาการปวด คุณอาจรับประทานเพียงตัวยาอย่างเดียว หรือรับประทานยาพร้อมกับอาหารก็ได้ การรับประทานยาพร้อมอาหาร อาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ สอบถามแพทย์หรือเภสัชกรของคุณเกี่ยวกับทางเลือกอื่น ๆ เพื่อลดอาการคลื่นไส้ เช่น นอนลง 1-2 ชั่วโมง โดยขยับศีรษะให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- ขนาดยาจะขึ้นอยู่กับอาการทางการแพทย์ และการตอบสนองของร่างกายคุณ เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง แพทย์ของคุณอาจสั่งให้คุณรับประทานยาตัวนี้ในขนาดต่ำและค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างระมัดระวัง ขนาดยาสูงสุดที่แนะนำคือ 400 มิลลิกรัมต่อวัน หากคุณมีอายุ 75 ปีขึ้นไป ขนาดยาสูงสุดที่แนะนำ คือ 300 มิลลิกรัมต่อวัน อย่าเพิ่มขนาดยา รับประทานบ่อยเกินหรือนานเกินกว่าที่แพทย์จ่ายให้ ควรหยุดรับประทานยาอย่างเหมาะสม
- ยาแก้ปวดจะมีประสิทธิภาพทำงานได้ดีที่สุด เมื่อใช้ในขณะที่มีสัญญาณแรกเกิดขึ้น หากคุณรอจนกว่าอาการปวดทรุดลง ตัวยาอาจไม่ได้ผล
- หากคุณมีอาการเจ็บเกิดขึ้นต่อเนื่อง เช่น โรคข้ออักเสบ แพทย์ของคุณอาจสั่งให้คุณรับประทานยานาร์โคติคในระยะยาว แต่ส่วนยาแก้ปวดที่ไม่ใช่นาร์โคติคอื่น ๆ อย่างยาอะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) อาจถูกจ่ายมาพร้อมกับยาชนิดนี้ โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรของคุณ เกี่ยวกับการใช้ยาทรามาดอลควบคู่กับยาตัวอื่นอย่างปลอดภัยอีกครั้ง
- ยาตัวนี้อาจทำให้เกิดอาการถอนยา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากใช้ยาตัวนี้เป็นเวลานาน หรือใช้ในขนาดยาที่สูง เพื่อป้องกันปฏิกิริยาการถอนยานี้ แพทย์ของคุณอาจให้ลดขนาดยาลดอย่างช้า ๆ
- เมื่อใช้ยาตัวนี้เป็นเวลานาน อาจทำให้ไม่ได้ผลแล้วเช่นกัน พูดคุยกับแพทย์ของคุณหากยาตัวนี้ไม่ได้ผลเพื่อปรับเปลี่ยนตัวยาใหม่
- อาจก่อให้เกิดพฤติกรรมอยากใช้ยาแบบผิดปกติ หรืออาการติดยา โปรดรับประทานยาตัวนี้ให้ตรงตามที่แพทย์กำหนดให้ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงของอาการติดยา
การเก็บรักษายา ทรามาดอล
- ยาทรามาดอลควรเก็บในอุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย
- เก็บยาให้ห่างจากมือเด็ก และสัตว์เลี้ยง
- ไม่ควรทิ้งลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน
ยาทรามาดอลบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน ตรวจสอบฉลากข้างบรรจุภัณฑ์หรือสอบถามแพทย์และเภสัชกรเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัย
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา ทรามาดอล
ในการตัดสินใจใช้ยา จำเป็นพิจารณาถึงประโยชน์ และความเสี่ยงของการรับประทานยา รวมถึงปัจจัยของภาวะทางสุขภาพ ดังต่อไปนี้
แจ้งแพทย์ของคุณ หากคุณเคยมีอาการผิดปกติหรืออาการแพ้ใด ๆ ต่อยาตัวนี้ หรือยาตัวอื่น ๆ นอกจากนี้ คุณควรบอกผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพของคุณทราบ หากคุณมีอาการแพ้ เช่น อาหาร สีย้อม สารกันบูดหรือสัตว์ สำหรับผลิตภัณฑ์ยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ อ่านฉลากหรือส่วนผสมบนบรรจุภัณฑ์อย่างละเอียด
- เด็กเล็ก
ไม่มีการค้นพบวิจัยที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอายุต่อผลกระทบของยา Rybix™ ODT ยา Ryzolt™ และยา Ultram® ในเด็กวัยต่ำกว่า 16 ปี รวมทั้งไม่มีการแสดงให้เห็นชัดถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยา
- ผู้สูงอายุ
งานวิจัยในปัจจุบัน ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาเฉพาะที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุมากนัก ทำให้ต้องจำกัดประโยชน์ของการใช้ยาทรามาดอลอย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสูงอายุมีความเป็นไปได้มากที่จะเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ท้องผูก หน้ามืด เวียนหัว ท้องไส้ปั่นป่วน อ่อนแรง ปัญหาของตับที่เกี่ยวกับอายุ ปัญหาไต และหัวใจ เป็นต้น ซึ่งอาจต้องการคำแนะนำถึงการปรับขนาดยาสำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาทรามาดอล
ความปลอดภัยในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับวิธีใช้ยาตัวนี้ ในช่วงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร ทุกครั้งโปรดปรึกษากับหมอของคุณ เพื่อประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนใช้ยา
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา ทรามาดอล
เข้ารับความช่วยเหลือทางการแพทย์ทันที หากคุณมีสัญญาณใด ๆ ก็ตามของปฏิกิริยาภูมิแพ้ โรคลมพิษ ปัญหาในการหายใจ อาการบวมบนใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้นและคอ อีกทั้งควรหยุดใช้ยาและโทรแจ้งหมอของคุณทันที หากคุณมีผลข้างเคียงรุนแรง ได้แก่
- เห็นภาพหลอน
- มีไข้
- หัวใจเต้นเร็ว ชีพจรต่ำ
- คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
- อาการชัก อาจถึงขั้นหมดสติ
- รอยแดง ตุ่มพุพอง ผื่นผิวหนังลอก
อาจผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- เวียนหัว รู้สึกหัวหมุน
- ท้องผูก ท้องไส้ปั่นป่วน
- ปวดหัว
- ง่วงซึม
- รู้สึกวิตกกังวลหรือกระวนกระวาย
ไม่ใช่ทุกคนที่จะแสดงอาการอันเนื่องมาจากผลข้างเคียงเหล่านี้ อาจมีผลข้างเคียงอื่นที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีความกังวลเรื่องผลข้างเคียง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาทรามาดอลอาจเกิดปฏิกิริยากับยาตัวอื่นที่คุณใช้อยู่ โดยสามารถเปลี่ยนประสิทธิภาพการทำงานของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา คุณควรแจ้งรายชื่อยาทั้งหมดที่คุณใช้อยู่ รวมถึงอาหารเสริม และสมุนไพรต่าง ๆ ให้แพทย์ และเภสัชกรทราบ เพื่อความปลอดภัยของคุณอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยา โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ที่สำคัญแพทย์อาจไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้ร่วมกับยา ดังต่อไปนี้
- ยานัลเตรโซน (Naltrexone)
- ยาราซากิไลน์ (Rasagiline)
- ยาเซเลกิไลน์ (Selegiline)
ไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้ร่วมกับยาเหล่านี้ แต่อาจจำเป็นต้องใช้ร่วมกันในบางกรณีเท่านั้น โดยอาจเปลี่ยนตัวยา หรือจำนวนครั้งของการใช้ยาตัวใดตัวหนึ่ง หรือตัวยาทั้งสองชนิด
- ยาอะเซโนคูมารอล (Acenocoumarol)
- ยาอะมิตริปไทลีน (Amitriptyline)
- ยาอะมอคซาพิน (Amoxapine)
- ยาแอมเฟตามีน (Amphetamine)
- ยาบรอมเพริดอล (Bromperidol)
- ยาบรอมฟีนิรามีน (Brompheniramine)
- ยาบูโพรเพียน (Bupropion)
- ยาบูสไพโรน (Buspirone)
- ยาคาร์บามาเซพิน (Carbamazepine)
- ยาคาร์บิโนซามีน (Carbinoxamine)
- ยาเซริทินิบ (Ceritinib)
- ยาคลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine)
- ยาคลอโพรมาซิน (Chlorpromazine)
- ยาคลอโพรทิซีน (Chlorprothixene)
- ยาซิตาโลแพรม (Citalopram)
- ยาคลาริโทรมายซิน (Clarithromycin)
- ยาโคลบาแซม (Clobazam)
- ยาโคลมิพรามีน (Clomipramine)
- ยาคลอกีไลน์ (Clorgyline)
- ยาโคลวอคซามีน (Clovoxamine)
- ยาโคบิซิสแทท (Cobicistat)
- โคเคน (Cocaine)
- ยาคริโซตินิบ (Crizotinib)
- ยาไซโครเบนซาพรีน (Cyclobenzaprine)
- ยาเดบราเฟนิบ (Dabrafenib)
- ยาเดซิพรามีน (Desipramine)
- ยาเดสเวนลาฟาซีน (Desvenlafaxine)
- ยาเดซโทรแอมเฟตามีน (Dextroamphetamine)
- ยาเดซโทรเมทอร์ฟาน (Dextromethorphan)
- ยาโดลาเซตรอน (Dolasetron)
- ยาโดธิอีพิน (Dothiepin)
- ยาโดเซพิน (Doxepin)
- ยาดูลอคเซติน (Duloxetine)
- ยาเอเลทริปทัน (Eletriptan)
- ยาเอสซิตาโลแพรม (Escitalopram)
- ยาเอสลิคาร์บาเซพิน อะซีเตท (Eslicarbazepine Acetate)
- ยาเอโทโพรพาซีน (Ethopropazine)
- ยาเฟมอคเซติน (Femoxetine)
- ยาเฟนทานีล (Fentanyl)
- ยาฟลูโคนาโซล (Fluconazole)
- ยาฟลูออกเซติน (Fluoxetine)
- ยาฟลูเพนธิซอล Flupenthixol)
- ยาฟลูฟีนาซีน (Fluphenazine)
- ยาฟลูวอคซามีน (Fluvoxamine)
- ยากรานิเซตรอน (Granisetron)
- ยาฮาโลเพริดอล (Haloperidol)
- ยาไฮโดรโคดอน (Hydrocodone)
- ยาไฮดรอกซีทริปโทฟาน (Hydroxytryptophan)
- ยาไอเดลาลิซิบ (Idelalisib)
- ยาไอมิพรามีน (Imipramine)
- ยาไอโพรไนอะซิด (Iproniazid)
- ยาไอโซคาร์บอคซาซิด (Isocarboxazid)
- ยาเคตามีน (Ketamine)
- ยาเลโวมิลนาซิพราน (Levomilnacipran)
- ยาลิเนโซลิด (Linezolid)
- ยาลิเทียม (Lithium)
- ยาโลเฟพรามีน (Lofepramine)
- ยาลอร์คาเซริน (Lorcaserin)
- ยาเมคลิซีน (Meclizine)
- ยาเมลเพโรน (Melperone)
- ยาเมเพริดีน (Meperidine)
- ยาเมโซริดาซีน (Mesoridazine)
- ยาเมทาโดน (Methadone)
- ยาเมโทไทรเมพราซีน (Methotrimeprazine)
- ยาเมทิลีน บลู (Methylene Blue)
- ยาเมโทโคลพราไมด์ (Metoclopramide)
- ยามิลนาซิพราน (Milnacipran)
- ยามิราเบกรอน (Mirabegron)
- ยาเมียตาซาพิน (Mirtazapine)
- ยาไมโทเทน (Mitotane)
- ยาโมโคลเบไมด์ (Moclobemide)
- ยาโมลินดอน (Molindone)
- มอร์ฟีน (Morphine)
- มอรืฟีน ซัลเฟต ไลโปโซม (Morphine Sulfate Liposome)
- ยานาราทริปแทน (Naratriptan)
- ยาเนฟาโซโดน (Nefazodone)
- ยานิโลทานิบ (Nilotinib)
- ยานอร์ทริปไทไลน์ (Nortriptyline)
- ยาโอลานซาพีน (Olanzapine)
- ยาออกซีโคโดน (Oxycodone)
- ยาออกซีมอร์โฟน (Oxymorphone)
- ยาพาโรโนเซตรอน (Palonosetron)
- ยาพาร์กีไลน์ (Pargyline)
- ยาพาโรเซติน (Paroxetine)
- ยาเพจินเตอเฟรอน อัลฟา-2บี (Peginterferon Alfa-2b)
- ยาเพนฟลูริดอล (Penfluridol)
- ยาเพนตาโซซีน (Pentazocine)
- ยาเพอร์ฟีนาซีน (Perphenazine)
- ยาฟีเนลซีน (Phenelzine)
- ยาพิโมไซด์ (Pimozide)
- ยาไพเพอราควิน (Piperaquine)
- ยาไพโพเทียอะซีน (Pipotiazine)
- ยาพริมิดอน (Primidone)
- ยาโพรคาร์บาซีน (Procarbazine)
- ยาโพรคลอเพราซีน (Prochlorperazine)
- ยาโพรมาซีน (Promazine)
- ยาโพรเมทาซีน (Promethazine)
- ยาโพรพิโอมาซีน (Propiomazine)
- ยาโพรพอคซีฟีน (Propoxyphene)
- ยาโพรทริปไทลีน (Protriptyline)
- ยาเรมอคซิไพรด์ (Remoxipride)
- ยาไรสเพอริดอน (Risperidone)
- ยาไรซาทริปแทน (Rizatriptan)
- ยาเซอร์ทราไลน์ (Sertraline)
- ยาไซบูทรามีน (Sibutramine)
- ยาซิลทูซิแมป (Siltuximab)
- สมุนไพรเซนต์ จอห์น วอรท์ (St John’s Wort)
- ยาซัลพิไรด์ (Sulpiride)
- ยาซูมาทริปแทน (Sumatriptan)
- ยาซูโวเรแซนท์ (Suvorexant)
- ยาทาเพนทาดอล (Tapentadol)
- ยาธิเอทิลเพอราซีน (Thiethylperazine)
- ยาธิโอไรดาซีน (Thioridazine)
- ยาธิโอธิซีน (Thiothixene)
- ยาทรานิลไซโพรมีน (Tranylcypromine)
- ยาทราโซดอน (Trazodone)
- ยาทริฟลูโอเพอราซีน (Trifluoperazine)
- ยาทริฟลูโพรมาซีน (Triflupromazine)
- ยาทริเมพราซีน (Trimeprazine)
- ยาทริมิพรามีน (Trimipramine)
- กรดวัลโพรอิค (Valproic Acid)
- ยาเวนลาฟาซีน (Venlafaxine)
- ยาวิลาโซดอน (Vilazodone)
- ยาวอร์ทิออกเซติน (Vortioxetine)
- ยาโซลมิทริปแทน (Zolmitriptan)
- ยาซูคลอเพนทิโซล (Zuclopenthixol)
การใช้ยาตัวนี้ร่วมกับยาใด ๆ ดังต่อไปนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงบางประการ แต่การใช้ยาร่วมกันอาจเป็นการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
- ยาไดโกซิน (Digoxin)
- ยาเพแรมพาเนล (Perampanel)
- ยาควินิดีน (Quinidine)
- ยาวาร์ฟาริน (Warfarin)
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาทรามาดอลอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรค
ยาทรามาดอลอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะ
- พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ในทางที่ผิด
- โรคซึมเศร้าจากระบบประสาทส่วนกลาง
- พฤติกรรมใช้ยาในทางที่ผิด
- อาการบาดเจ็บที่หัว
- ปัญหาฮอร์โมน
- แรงกดดันภายในหัวเพิ่มมากขึ้น
- โรคติดเชื้อในระบบประสาทส่วนกลาง (CNS)
- โรคจิตเภช
- โรคภูมิแพ้ฟีนิลคีโตนูเรีย
- อาการชัก หรือโรคลมชัก
- ปัญหาทางกระเพาะขั้นรุนแรง ควรใช้อย่างระมัดระวัง โอกาสของการเกิดผลข้างเคียงรุนแรงอาจเพิ่มขึ้น
- ปัญหาปอดหรือการหายใจขั้นรุนแรง เช่น โรคหอบหืด ภาวะความดันคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง (hypercapnia) ไม่ควรนำมาใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการนี้
- โรคไต
- โรคตับ
- หากคุณเป็นโรคฟีนิลคีโตนูเรีย (phenylketonuria) ยาเม็ดแตกตัวในปากที่มีส่วนผสมของสารฟีนิลอะลานีน (phenylalanine) สามารถทำให้อาการทรุดลงได้
เข้าใจขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ใดๆ ทุกครั้งควรปรึกษาแพทย์ของคุณเพื่อรับทราบข้อมูลเพื่อเติมก่อนการใช้ยานี้
ขนาดยาทรามาดอลสำหรับผู้ใหญ่
- สำหรับอาการปวดเรื้อรังระดับน้อยจนถึงปานกลาง ไม่จำเป็นต้องการให้ผลของยาแก้ปวดออกชนิดฤทธิ์ไว
ขนาดยาเริ่มต้น : 25 มิลลิกรัม ทุก ๆ เช้า
การไตเตรท : เพิ่มขนาดยา 25 มิลลิกรัมเป็นยาแยก ทุก ๆ 3 วัน เพื่อให้ขนาดยาถึง 100 มิลลิกรัมต่อวัน โดยรับประทานทีละ 25 มิลลิกรัม 4 ครั้งต่อวัน จากนั้น ขนาดยาโดยรวมต่อวันอาจเพิ่มอีก 50 มิลลิกรัมเท่าที่ยังปรับตัวกับยาได้ ทุก ๆ 3 วัน เพื่อให้ขนาดยาถึง 200 มิลลิกรัมต่อวัน โดยรับประทานทีละ 50 มิลลิกรัม 4 ครั้งต่อวัน
ขนาดยาคงที่ : หลังการไตเตรท อาจให้ยาทรามาดอล 50 มิลลิกรัมจนถึง 100 มิลลิกรัมตมที่ต้องการสำหรับบรรเทาอาการปวด ทุก ๆ 4 ถึง 6 ชั่วโมง โดยไม่ให้เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน
- สำหรับจัดการอาการปวดเรื้อรังระดับปานกลางจนถึงรุนแรงในผู้ใหญ่
ขนาดยาเริ่มต้น : 100 มิลลิกรัม วันละครั้ง และไตเตรทเพิ่มขึ้นทุก ๆ 100 มิลลิกรัม เท่าที่จำเป็น ทุก ๆ 5 วัน เพื่อบรรเทาอาการปวด โดยขึ้นอยู่การทนสภาพยาของแต่ละบุคคล
ขนาดยาสูงสุด : ไม่ควรให้ยาเม็ดออกฤทธิ์นานเกินกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน
สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการให้ผลของยาแก้ปวดชนิดออกฤทธิ์ทันที และประโยชน์ที่มีมากกว่าความเสี่ยงสำหรับผู้ป่วยในการหยุดใช้ยาเนื่องจากอาการไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับขนาดยาเริ่มต้นที่มากขึ้น
ขนาดยา : ควรให้ยา 50-100 มิลลิกรัม เท่าที่จำเป็นสำหรับบรรเทาอาการปวด ทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง โดยไม่ให้ขนาดยาเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน
ผู้ป่วยที่ไม่ได้รักษาด้วยยาทรามาดอลออกฤทธิ์ทันที (IR)
ขนาดยาเริ่มต้น : 100 มิลลิกรัม วันละครั้ง และไตเตรทเพิ่มขึ้นทุก ๆ 100 มิลลิกรัม เท่าที่จำเป็น ทุก ๆ 5 วัน
ขนาดยาสูงสุด : 300 มิลลิกรัมต่อวัน
ผู้ป่วยที่กำลังรักษาด้วยยาทรามาดอลออกฤทธิ์ทันที (immediare release)
คำนวณระยะเวลาออกฤทธิ์ยาใน 24ชั่วโมงของยาทรามาดอลออกฤทธิ์ทันที
ขนาดยาเริ่มต้น : ลดขนาดยาครั้งต่อไปต่ำสุด 100 มิลลิกรัม ขนาดยาครั้งต่อไป อาจขึ้นอยู่กับความต้องการและความทนต่อสภาพยาของผู้ป่วยแต่ละบุคคล
ขนาดยาสูงสุด : 300 มิลลิกรัมต่อวัน
เนื่องจากข้อจำกัดในการเลือกขนาดยาทรามาดอลออกฤทธิ์นานที่ไม่ยืดหยุ่นมากนัก ผู้ป่วยบางคนที่รักษาด้วยยาทรามาดอลออกฤทธิ์ทันที อาจปรับตัวไม่ได้
ขนาดยาทรามาดอลสำหรับเด็ก
อายุ 4 ถึง 16 ปี
ยาชนิดออกฤทธิ์ทันที : 1-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/ครั้ง ทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง
ขนาดยาสูงสุดต่อวัน : 100 มิลลิกรัม
ขนาดยาสูงสุดต่อวัน : คือขนาดยาน้อยกว่า 8 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน หรือ 400 มิลลิกรัมต่อวัน
อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป
ขนาดยาเริ่มต้น : 50 ถึง 100 มิลลิกรัม ทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง
ขนาดยาสูงสุด : 400 มิลลิกรัมต่อวัน
อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการให้เกิดผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว ผลข้างเคียงอาจลดลงได้ด้วยการให้ขนาดยาเริ่มต้นที่ 25 มิลลิกรัมต่อวัน เพิ่มขนาดยาขึ้น 25 มิลลิกรัม ทุก ๆ 3 วัน และเพิ่มเป็น 25 มิลลิกรัม 4 ครั้งต่อวัน ขนาดยาอาจสามารถเพิ่มเป็น 50 มิลลิกรัม ทุก ๆ 3 วัน ในขณะที่ยังปรับตัวกับยาได้ จนถึง 50 มิลลิกรัม 4 ครั้งต่อวัน
อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ในยาเม็ดชนิด Oral Disintegrating Tablet (ODT)
ขนาดยาเริ่มต้น : 50 ถึง 100 มิลลิกรัม ทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง
ขนาดยาสูงสุด : 400 มิลลิกรัมต่อวัน
อีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการให้เกิดผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว ผลข้างเคียงอาจลดลง โดยการให้ขนาดยาเริ่มต้นที่ 25 มิลลิกรัมต่อวัน เพิ่มขนาดยาขึ้น 25 มิลลิกรัม ทุก ๆ 3 วัน และเพิ่มเป็น 25 มิลลิกรัม 4 ครั้งต่อวัน ขนาดยาอาจเพิ่มเป็น 50 มิลลิกรัม ทุก ๆ 3 วัน ในขณะที่ยังปรับตัวกับยาได้ จนถึง 50 มิลลิกรัม 4 ครั้งต่อวัน
ขนาดยาสูงสุด : 400 มิลลิกรัมต่อวัน
อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป สำหรับยาชนิดออกฤทธิ์นาน
ขนาดยาเริ่มต้น : 100 มิลลิกรัม วันละครั้ง
ไตเตรทเพิ่มขึ้นทีละ 100 มิลลิกรัม ทุก ๆ 2 ถึง 3 วันหากจำเป็นสำหรับควบคุมอาการปวด
ขนาดยาสูงสุด : 300 มิลลิกรัมต่อวัน
รูปแบบของยา
ยาทรามาดอลมีให้เลือกใช้ในรูปแบบและฤทธิ์ยาดังต่อไปนี้ได้แก่ ยาแคปซูล ยาเม็ดละลายน้ำ ยาเม็ดชนิด orodispersible tablet ยาเม็ด ยาแคปซูลชนิดควบคุมการปลดปล่อย และยาฉีดเข้ากระแสเลือด
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านโดยทันที โดยอาการของการใช้ยาเกินขนาด ได้แก่
- ขนาดของรูม่านตาเล็กลง
- หายใจลำบาก
- ง่วงซึมขั้นรุนแรง
- หมดสติ
- โคม่า (หมดสติไปช่วงเวลาหนึ่ง)
- การเต้นของหัวใจช้าลง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- หนาว ผิวหนังลอก
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมรับประทานยาควรรีบรับประทานทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลารับประทานยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปรับประทานยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
[embed-health-tool-bmi]