ข้อบ่งใช้
ยา สไปโรโนแลคโตน ใช้สำหรับ
ยา สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ใช้เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง การลดระดับความดันโลหิตที่เพิ่มสูง จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง อาการหัวใจขาดเลือดฉับพลัน และปัญหาเกี่ยวกับตับ นอกจากนี้ยังใช้เพื่อรักษาอาการบวมน้ำ ที่เกิดจากสภาวะบางอย่าง เช่น โรคหัวใจล้มเหลว โดยการกำจัดน้ำส่วนเกิน และช่วยให้หายใจได้ดีขึ้น
ยานี้ยังใช้เพื่อรักษาภาวะโพแทสเซียมต่ำ และสภาวะที่ร่างกายผลิตสารเคมีตามธรรมชาติในร่างกาย อย่างอัลดอสเตอโรน (aldosterone) มากเกินไป
ยาสไปโรโนแลคโตนเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นยาขับปัสสาวะ potassium-sparing diuretic
นอกจากนี้ยานี้ใช้เพื่อรักษาภาวะขนดก (hirsutism) สำหรับผู้หญิงที่มีภาวะภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (polycystic ovary disease)
วิธีการใช้ยา สไปโรโนแลคโตน
รับประทานยานี้ตามที่แพทย์กำหนด หากมีอาการท้องไส้ปั่นป่วน สามารถรับประทานพร้อมกับอาหารหรือลดได้ ควรรับประทานยานี้ในตอนกลางวัน (ก่อน 6 โมงเย็น) เพื่อป้องกันการต้องลุกไปเข้าห้องน้ำกลางดึก โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ
ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ และการตอบสนองต่อการรักษา สำหรับเด็กขนาดยายังขึ้นกับน้ำหนักตัวอีกด้วย
ควรรับประทานยาเป็นประจำ เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากยาสูงสุด เพื่อให้ง่ายต่อการจำ ควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะรู้สึกเป็นปกติ คนที่มีภาวะความดันโลหิตสูงมักจะไม่รู้สึกป่วย
รับประทานยาตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัด อย่าเพิ่มขนาดยา รับประทานบ่อยกว่าที่กำหนด หรือหยุดใช้ยาโดยไม่ปรึกษากับแพทย์ อาการของคุณอาจแย่ลงได้หากหยุดใช้ยากะทันหัน
แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการของคุณแย่ลง (ค่าของความดันโลหิตที่วัดได้เพิ่มขึ้น)
การเก็บรักษายา สไปโรโนแลคโตน
ยาสไปโรโนแลคโตนควรเก็บในอุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาสไปโรโนแลคโตนบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัย โปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาสไปโรโนแลคโตนลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำ ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาสไปโรโนแลคโตน
ระหว่างที่กำลังพิจารณาเลือกใช้ยา แพทย์จะพิจารณาความเสี่ยงของการใช้ยาต่อประโยชน์ของยาเสียก่อน สำหรับยานี้ควรพิจารณาดังต่อไปนี้
โรคภูมิแพ้
แจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณเคยมีอาการที่ผิดปกติ หรืออาการแพ้ต่อยานี้ นอกจากนี้ยังควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้อื่นๆ ที่คุณเป็น เช่น แพ้อาหาร สีย้อม สารกันบูด หรือสัตว์ สำหรับยาที่หาซื้อเอง ควรอ่านฉลากยา หรือส่วนประกอบของยาอย่างละเอียด
เด็ก
ยังไม่มีงานวิจัยที่เหมาะสมในปัจจุบัน ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอายุ และประสิทธิภาพของยาสไปโรโนแลคโตนในเด็ก ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
ผู้สูงอายุ
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอายุ กับประสิทธิภาพของยาสไปโรโนแลคโตนในผู้สูงอายุ
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยในผู้หญิงที่เพียงพอ ที่จะบ่งชี้ความเสี่ยงของการใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษากับแพทย์ เพื่อพิจารณาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยาสไปโรโนแลคโตน
รับการรักษาในทันทีหากคุณมีสัญญาณของอาการแพ้ดังนี้ ลมพิษ หายใจติดขัด บวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ
หยุดใช้ยาและแจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณมีผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น
- เป็นเหน็บชา
- ปวดกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- หัวใจเต้นช้า เร็ว หรือไม่เท่ากัน
- รู้สึกง่วงซึม กระสับกระส่าย หรือวิงเวียน
- ปัสสาวะน้อยกว่าปกติหรือไม่ปัสสาวะ
- หายใจไม่อิ่ม
- สั่นเทา สับสน
- คลื่นไส้ ปวดกระเพาะส่วนบน เบื่ออาหาร ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีดินเหนียว ดีซ่าน (ผิวหนังหรือดวงตาเป็นสีเหลือง)
- อาการแพ้ที่รุนแรง เป็นไข้ เจ็บคอ บวมที่ใบหน้าหรือลิ้น แสบตา เจ็บผิว ตามด้วยผดผื่นผิวหนังสีม่วงหรือแดง ที่แพร่กระจาย (โดยเฉพาะที่ใบหน้าหรือร่างกายส่วนบน) และทำให้เกิดแผลพุพองและผิวลอก
ผลข้างเคียงที่รุนแรงน้อยกว่ามีดังต่อไปนี้
- มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ในระดับกลาง
- วิงเวียน ปวดหัว
- มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ปวดท้อง
- ผดผื่นผิวหนัง
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาสไปโรโนแลคโตนอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้กับยาดังต่อไปนี้ แพทย์อาจจะตัดสินใจไม่ใช้ยาในกลุ่มนี้เพื่อรักษาคุณ หรือเปลี่ยนยาบางตัวที่คุณกำลังใช้อยู่
- อีพลีรีโนน (Eplerenone)
- ไตรแอมทีรีน (Triamterene)
โดยปกติแล้ว ไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้กับยาดังต่อไปนี้ แต่อาจจำเป็นในบางกรณี หากคุณได้รับใบสั่งยาทั้งคู่ร่วมกัน แพทย์อาจจะต้องเปลี่ยนขนาดยา หรือความถี่ในการใช้ยา ตัวหนึ่งหรือทั้งคู่
- อีนาลาพริล (Alacepril)
- อาร์จินีน (Arginine)
- อาร์เซนิกไตรออกไซด์ (Arsenic Trioxide)
- เบนาซีพริล (Benazepril)
- แคปโตพริ (Captopril)
- ซิลาซาพริล (Cilazapril)
- เดเลพริล (Delapril)
- ไดจอกซิน (Digoxin)
- ดรอเพอริดอล (Droperidol)
- เอนาลาพริล (Enalaprilat)
- อีนาลาพริล เมเลต (Enalapril Maleate)
- โฟซิโนพริล (Fosinopril)
- อิมิดาพริล (Imidapril)
- เลโวเมทาดิล (Levomethadyl)
- ลิซิโนพริล (Lisinopril)
- ลิเทียม (Lithium)
- โมเอซิพริล (Moexipril)
- เพนโทพริล (Pentopril)
- เพอรินโดพริล (Perindopril)
- โพแทสเซียม (Potassium)
- ควินาพริล (Quinapril)
- รามิพริล (Ramipril)
- โซทาลอล (Sotalol)
- สไปราพริล (Spirapril)
- ทาโครลิมัส (Tacrolimus)
- เทโมคาพริล (Temocapril)
- ทรานโดลาพริล (Trandolapril)
- ไตรเมโทพริม (Trimethoprim)
- โซเฟโนพริล (Zofenopril)
การใช้ยาดังต่อไปนี้ร่วมกัน อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงบางอย่างได้ แต่การใช้ยาทั้งสองร่วมกัน อาจเป็นการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ หากคุณได้รับใบสั่งยาทั้งคู่ร่วมกัน แพทย์อาจจะต้องเปลี่ยนขนาดยา หรือความถี่ในการใช้ยาตัวหนึ่ง หรือทั้งคู่
- อะซีโคลฟีแนค (Aceclofenac)
- อะเซเมทาซิน (Acemetacin)
- แอมโทลเมทิน กัวซิล (Amtolmetin Guacil)
- แอสไพริน
- บรอมฟีแนค (Bromfenac)
- บูเฟซาแมค (Bufexamac)
- เซเลคอกซิบ (Celecoxib)
- โคลีนซาลิไซเลต (Choline Salicylate)
- คลอนิซิน (Clonixin)
- เดซิบูโพรเฟน (Dexibuprofen)
- เดกเคโทโพรเฟน (Dexketoprofen)
- ไดโคลฟีแนค (Diclofenac)
- ดิฟลูทิซอล (Diflunisal)
- ดิจิท็อกซิน (Digitoxin)
- ไดพีโรน (Dipyrone)
- เอโทโดแลค (Etodolac)
- เอโทนาเมต (Etofenamate)
- เอโทริโคซิบ (Etoricoxib)
- เฟลบิแนค (Felbinac)
- เฟโนโพรเฟน (Fenoprofen)
- เฟพราดินอล (Fepradinol)
- เฟพราโซน (Feprazone)
- ฟลอคแทเพนีน (Floctafenine)
- กรดฟลูเฟนามิค (Flufenamic Acid)
- เฟลอร์บิโพรเฟน (Flurbiprofen)
- กอสซิปอล (Gossypol)
- ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- ไอบูโพรเฟนไลซีน (Ibuprofen Lysine)
- อินโดเมทาซิน (Indomethacin)
- คีโตโปรเฟน (Ketoprofen)
- คีโตโรแลค (Ketorolac)
- ชะเอมเทศ
- ลอร์นอกซิแคม (Lornoxicam)
- โลโซโพรเฟน (Loxoprofen)
- ลูมิราโคซิบ (Lumiracoxib)
- เมคลอเฟนาเมต (Meclofenamate)
- กรดเมเฟนามิค (Mefenamic Acid)
- มีลอกซิแคม (Meloxicam)
- มอร์นิฟลูเมต (Morniflumate)
- นาบูเมโทน (Nabumetone)
- นาพรอกเซน (Naproxen)
- เนพาเฟแนค (Nepafenac)
- กรดนิฟลูมิค (Niflumic Acid)
- นิเมซูไลด์ (Nimesulide)
- ออกซาโพรซิน (Oxaprozin)
- ออกเฟนบูตาโซน (Oxyphenbutazone)
- พาเรโคซิบ (Parecoxib)
- เฟนนีบูตาโซน (Phenylbutazone)
- ไพคีโตโพรเฟน (Piketoprofen)
- ไพร็อกซิแคม (Piroxicam)
- พราโนโพรเฟน (Pranoprofen)
- โพรกลูเมตาซิน (Proglumetacin)
- พรอบพีเฟนาโซน (Propyphenazone)
- โพรกัวโซน (Proquazone)
- โรเฟโคซิบ (Rofecoxib)
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)
- ซาลซาเลต (Salsalate)
- โซเดียมซัลลิไซเลต (Sodium Salicylate)
- ซูลินแดค (Sulindac)
- เทโนซิแคม (Tenoxicam)
- กรดไทอาโพรเฟนิค (Tiaprofenic Acid)
- กรดโทลเฟเนมิค (Tolfenamic Acid)
- โทลเมทิน (Tolmetin)
- วาลเดโคซิบ (Valdecoxib)
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาสไปโรโนแลคโตนอาจมีปฏิกิริยากับอาหาร หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาสไปโรโนแลคโตนอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะ:
- โรคแอดดิสัน (Addison’s disease)
- ภาวะปัสสาวะไม่ออก (Anuria)
- ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia)
- โรคไตขั้นรุนแรง ไม่ควรใช้ยานี้
- ภาวะอิเล็กโทรไลท์ไม่สมดุล (Electrolyte imbalance) เช่นมีคลอไรด์ (Chloride) แมกนีเซียม หรือโพแทสเซียมในร่างกายต่ำ
- ของเหลวไม่สมดุล เนื่องจากภาวะขาดน้ำ (dehydration) อาเจียน หรือท้องร่วง
- โรคตับขั้นรุนแรง เช่นตับแข็ง (cirrhosis) ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง อาจทำให้อาการแย่ลงได้
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาสไปโรโนแลคโตนสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคบวมน้ำ (Edema)
- 25 ถึง 200 มก./วัน แบ่งรับประทาน 1 หรือ 2 ครั้ง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension):
- 25 ถึง 200 มก./วัน แบ่งรับประทาน 1 หรือ 2 ครั้ง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (Hypokalemia):
- 25 ถึง 200 มก./วัน แบ่งรับประทาน 1 หรือ 2 ครั้ง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อการวินิจฉัยภาวะต่อมหมวกไตทำงานเกิน (Primary Hyperaldosteronism):
- 100 ถึง 400 มก./วัน แบ่งรับประทาน 1 หรือ 2 ครั้ง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะขนดก (Hirsutism):
- 50 ถึง 200 มก./วัน แบ่งรับประทาน 1 หรือ 2 ครั้ง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคหัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure):
- รับประทาน 25 มก./วัน เพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับการตอบสนองและการมีอยู่ของภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะต่อมหมวกไตทำงานเกิน (Primary Hyperaldosteronism):
- ขนาดยาเริ่มต้น: 100 มก. รับประทานวันละครั้ง อาจแบ่งขนาดยาเป็นสองครั้งต่อวัน และเพิ่มขนาดยาเท่าที่ทนได้ทุกๆ 2 ถึง 3 วันจนถึงขนาดสูงสุดที่แนะนำในแต่ละวันคือ 400 มก.
- ควรปรับขนาดยาเพื่อลดปริมาณของการกักเก็บโซเดียม ภาวะความดันโลหิตสูง อ่อนแรง ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ และสัญญาณหรืออาการของภาวะต่อมหมวกไตทำงานเกิน
- หากผู้ป่วยมีเนื้องอกต่อมหมวกไตหรือโรคมะเร็ง ควรใช้ยาสไปโรโนแลคโตนขนาดต่ำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ขณะที่กำลังรอรับการผ่าตัด สำหรับภาวะต่อมหมวกไตทำงานเกิน (Adrenal hyperplasia) โดยปกติแล้ว จะไม่ตอบสนองต่อการผ่าตัด และจำเป็นต้องรักษาด้วยยาสไปโรโนแลคโตนในระยะยาว
- ผู้ป่วยที่มีภาวะต่อมหมวกไตทำงานเดินมักจะต้องมีการรักษาด้วยยาลดความดัน (antihypertensive) อื่นๆเพื่อควบคุมภาวะความดันโลหิตสูง
ขนาดยาสไปโรโนแลคโตนสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง
- ทารก: 1 ถึง 3 มก./กก./วัน รับประทานทุกๆ 12 ถึง 24 ชั่วโมง
- เด็ก: 1.5 ถึง 3.3 มก./กก./วัน หรือ 60 มก./ตารางเมตร/วัน แบ่งรับประทานทุกๆ 6 ถึง 12 ชั่วโมง ไม่เกิน 100 มก./วัน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อการวินิจฉัยภาวะต่อมหมวกไตทำงานเกิน
- เด็ก: 100 ถึง 400 มก./ตารางเมตร/วัน แบ่งรับประทาน 1 หรือ 2 ครั้ง
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาเม็ด 25 มก. 50 มก. 100 มก.
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
อาการของการใช้ยาเกินขนาดอาจมีดังต่อไปนี้
- ง่วงซึม
- สับสน
- ผดผื่น
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- วิงเวียน
- ท้องร่วง
- เป็นเหน็บที่แขนและขา
- สูญเสียความตึงตัวของกล้ามเนื้อ (muscle tone)
- รู้สึกอ่อนแรงหรือหนักที่ขา
- หัวใจเต้นผิดปกติหรือเต้นช้า
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]