backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

เอโทโดแลค (Etodolac)

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

เอโทโดแลค (Etodolac)

ข้อบ่งใช้

ยา เอโทโดแลค ใช้สำหรับ

ยา เอโทโดแลค (Etodolac) ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดเนื่องจากสภาวะต่างๆ ยานี้ยังใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด บวม และอาการข้อแข็งจากโรคข้ออักเสบ (arthritis)

ยาแก้ปวดเอโทโดแลคนี้เป็นยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) ทำงานโดยการปิดกั้นไม่ให้ร่างกายผลิตสารตามธรรมชาติบางชนิดที่ทำให้เกิดการอักเสบ

หากคุณใช้ยานี้เพื่อรักษาโรคเรื้อรังอย่างโรคข้ออักเสบ โปรดสอบถามแพทย์ถึงวิธีการรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือ การใช้ยาอื่นเพื่อรักษาอาการปวดของคุณ

วิธีการใช้ยา เอโทโดแลค

รับประทานยานี้ตามที่แพทย์กำหนด โดยปกติ คือ วันละ 2 หรือ 3 ครั้งพร้อมกับดื่มน้ำหนึ่งแก้ว (8 ออนซ์/240 มล.) อย่าล้มตัวลงนอนเป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาทีหลังจากรับประทานยา อาจจะรับประทานยาพร้อมกับอาหาร นม หรือยาลดกรดเพื่อป้องกันอาการท้องไส้ปั่นป่วน

ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์และการตอบสนองต่อการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการเลือดออกในกระเพาะอาหารและผลข้างเคียงอื่นๆ ควรใช้ยานี้ในขนาดต่ำสุดเท่าที่มีประสิทธิภาพและใช้เป็นเวลาสั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ อย่าเพิ่มขนาดยาหรือใช้ยาบ่อยกว่าที่กำหนด สำหรับสภาวะที่กำลังมีอาการอยู่อย่างโรคข้ออักเสบนั้นควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์กำหนด

หากคุณใช้ยานี้เท่าที่จำเป็น (ไม่ได้ใช้เป็นประจำ) โปรดจำไว้ว่ายาแก้ปวดนั้นจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดหากรับประทานเมื่อเริ่มมีอาการปวด หากคุณรอให้อาการปวดรุนแรงขึ้น ยานี้อาจจะไม่ได้ผลดีนัก

สำหรับสภาวะบางอย่าง เช่น โรคข้ออักเสบ อาจต้องใช้ยานี้เป็นประจำนานถึง 2-3 สัปดาห์กว่าที่คุณจะสังเกตเห็นประโยชน์ของยาอย่างเต็มที่

โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง

การเก็บรักษายา เอโทโดแลค

ยาเอโทโดแลคควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาเอโทโดแลคบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ไม่ควรทิ้งยาเอโทโดแลคลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูก สอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา เอโทโดแลค

ก่อนใช้ยาเอโทโดแลค แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือแพ้ต่อยาแอสไพรินหรือยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์อื่นๆ เช่นยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ยานาพรอกเซน (naproxen) หรือยาเซเลโคซิบ (celecoxib) หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนประกอบไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะโรคหอบหืด รวมถึงเคยมีอาการหายใจได้แย่ลงหลังจากการใช้ยาแอสไพรินหรือยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์อื่นๆความผิดปกติของเลือด เช่น ภาวะโลหิตจาง ปัญหาเกี่ยวกับอาการเลือดออกหรือลิ่มเลือด ริดสีดวงจมูก (nasal polyps) โรคหัวใจ เช่น เคยมีอาการหัวใจวาย ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคหลอดเลือดสมอง ปัญหาเกี่ยวกับคอ กระเพาะอาหาร หรือลำไส้ เช่น มีเลือดออก แสบร้อนกลางอก หรือมีแผล

ในบางครั้งการใช้ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์รวมถึงยาเอโทโดแลคนั้นอาจจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับไตได้ ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นหากคุณมีภาวะขาดน้ำ เป็นโรคหัวใจล้มเหลว หรือเป็นโรคไต เป็นผู้สูงอายุ หรือกำลังใช้ยาบางอย่าง (อ่านเเพิ่มเติมในส่วนปฏิกิริยาของยา) ควรดื่มน้ำให้มากตามที่แพทย์กำหนดเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและแจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากปริมาณของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง

ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนหรือง่วงซึม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกัญชานั้นอาจทำให้อาการวิงเวียนหรือง่วงซึมรุนแรงขึ้นได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวจนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย จำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปรึกษาแพทย์หากคุณใช้กัญชา

ยานี้อาจทำให้มีอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร การดื่มสุราและสูบบุหรี่ทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อใช้ยานี้ร่วมด้วยนั้นอาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการเลือดออก ควรจำกัดปริมาณการดื่มสุราและหยุดสูบบุหรี่ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ยานี้อาจทำให้คุณมีปฏิกิริยาไวต่อแสงแดดมากขึ้น ควรจำกัดเวลาอยู่ใต้แสงแดด หลีกเลี่ยงบูธอาบแดดและหลอดไฟอุลตร้าไวโอเลต ควรทาครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้าป้องกันเมื่ออยู่นอกบ้าน โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากคุณมีอาการแดดเผาหรือแผลพุพองหรือรอยแดงที่ผิวหนัง

ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ)

ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะอาการเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ปัญหาเกี่ยวกับไต และปัญหาเกี่ยวกับหัวใจรุนแรงขึ้น

ก่อนใช้ยานี้ ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยงในการใช้ยานี้ (เช่นการแท้งบุตร หรือมีบุตรยาก) โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณตั้งครรภ์หรือมีแผนที่จะตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรภ์ควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์และส่งผลกระทบต่อการคลอดบุตรตามปกติ

ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายานี้สามารถส่งผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้หรือไม่ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา

ยาเอโทโดแลคจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A= ไม่มีความเสี่ยง
  • B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C= อาจจะมีความเสี่ยง
  • D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X= ห้ามใช้
  • N= ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยา เอโทโดแลค

กาารับประทานยา เอโทโดแลค อาจทำให้เกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ ท้องร่วง ง่วงซึม หรือวิงเวียน หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้นโปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที

โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ

ยานี้อาจจะเพิ่มระดับของความดันโลหิตได้ โปรดทำการตรวจวัดระดับความดันโลหิตเป็นประจำและแจ้งให้แพทย์ทราบหากผลการตรวจนั้นสูง

โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณมีผลข้างเคียงที่รุนแรงใดๆ ทั้งอาการมีรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย กลืนลำบากหรือมีอาการปวดขณะกลืน การได้ยินเปลี่ยนแปลง เช่น มีเสียงอื้อในหู มีความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจหรืออารมณ์ มีอาการบวมที่ข้อเท้า เท้า หรือมือ น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันหรือหาสาเหตุไม่ได้ สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไต เช่น ปริมาณของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง คอแข็งเกร็งอย่างหาสาเหตุไม่ได้ การมองเห็นเปลี่ยนแปลง เหนื่อยล้าผิดปกติ

ในนานๆ ครั้งยานี้อาจจะทำให้เกิดโรคตับที่รุนแรง (อาจถึงแก่ชีวิต) หากคุณสังเกตเห็นผลข้างเคียงที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นแต่รุนแรงมากเหล่านี้ ควรหยุดใช้ยาและติดต่อแพทย์หรือเภสัชกรในทันที ทั้งอาการปัสสาวะสีคล้ำ คลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหารเป็นประจำ ปวดท้อง ดวงตาหรือผิวหนังเป็นสีเหลือง

การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที

อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้ ผดผื่น คันหรือบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด

ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่

  • ยาอะลิสคิเรน (aliskiren)
  • ยาในกลุ่มเอซีอี อินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitors) เช่น ยาแคปโทพริล (captopril) หรือลิซิโนพริล (lisinopril)
  • ยาในกลุ่มแอนจิโอเทนซิน ทู รีเซพเตอร์ บล็อกเกอร์ (angiotensin II receptor blockers) เช่น โลซาร์แทน (losartan) หรือวาลซาร์แทน (valsartan)
  • ยาไซโดโฟเวียร์ (cidofovir)
  • ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) เช่น เพรดนิโซน (prednisone)
  • ยาลิเทียม (lithium)
  • ยาเมโธเทรกเซท (methotrexate)
  • ยาขับน้ำหรือยาขับปัสสาวะ เช่น ฟูโรเซไมด์ (furosemide)

ยานี้อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการเลือดออกเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นที่อาจทำให้อาการเลือดออกได้ เช่น

  • ยาต้านเกล็ดเลือด อย่าง ยาโคลพิโดเกรล (clopidogrel)
  • ยาเจือจางเลือด อย่าง ดาบิกาแทรน (dabigatran) อีนอกซาพาริน (enoxaparin) หรือวาฟาริน (warfarin) และอื่นๆ

ควรอ่านฉลากยาตามใบสั่งแพทย์และยาที่หาซื้อเองทั้งหมดอย่างละเอียดเนื่องจากมียาจำนวนมากที่มีส่วนผสมของยาบรรเทาอาการปวดหรือลดไข้ เช่นยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์

อย่างเช่น ยาเซเลโคซิบ (celecoxib) ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือยาคีโตโรแลค (ketorolac) ยาเหล่านี้คล้ายกับยาเอโทโดแลคและอาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงหากใช้ร่วมกัน แต่แพทย์อาจจะสั่งให้คุณใช้ยาแอสไพรินในขนาดต่ำ (โดยทั่วไปคือขนาด 81-325 มก. ต่อวัน) เพื่อป้องกันโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง คุณควรใช้ยาแอสไพรินนั้นต่อไปนอกเสียจากแพทย์จะสั่งแบบอื่น โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อผลการตรวจในห้องแล็บบางชนิดและอาจทำให้ผลการตรวจเป็นเท็จได้ โปรดแจ้งบุคลากรในห้องแล็บและแพทย์ของคุณทุกคนให้ทราบว่าคุณกำลังใช้ยานี้

ยาเอโทโดแลคอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาเอโทโดแลคอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

ยาเอโทโดแลคอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยาเอโทโดแลคสำหรับผู้ใหญ่

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม

สำหรับยาออกฤทธิ์ทันที

  • ขนาดยาเริ่มต้น 300 มก. รับประทานวันละ 2 ถึง 3 ครั้ง หรือ 400 มก. ถึง 500 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
  • ขนาดยาปกติ ควรใช้ยาในขนาดต่ำที่ 600 มก./วัน อาจจะเพียงพอสำหรับการใช้ยาในระยะยาว
  • ขนาดยาสูงสุด 1000 มก./วัน
  • สำหรับยาออกฤทธิ์นาน 400 มก. ถึง 1000 มก. รับประทานวันละครั้ง

คำแนะนำ

ควรจะเห็นการตอบสนองต่อการรักษาภายใน 1 สัปดาห์ของการรักษา แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะมองเห็นได้ภายใน 2 สัปดาห์ ควรปรับขนาดยาหลังจากได้รับการตอบสนองที่น่าพึงพอใจ

การใช้งาน

เพื่อการจัดการกับสัญญาณและอาการของโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์แบบเฉียบพลันหรือระยะยาว

ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาเพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)

สำหรับยาออกฤทธิ์ทันที

  • ขนาดยาเริ่มต้น 300 มก. รับประทานวันละ 2 ถึง 3 ครั้ง หรือ 400 มก. ถึง 500 มก. รับประทานวันละสองครั้ง
  • ขนาดยาปกติ ควรใช้ยาในขนาดต่ำที่ 600 มก./วัน อาจจะเพียงพอสำหรับการใช้้ยาในระยะยาว
  • ขนาดยาสูงสุด 1000 มก./วัน
  • สำหรับยาออกฤทธิ์นาน 400 มก. ถึง 1000 มก. รับประทานวันละครั้ง
  • คำแนะนำ

    ควรจะเห็นการตอบสนองต่อการรักษาภายใน 1 สัปดาห์ของการรักษา แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะมองเห็นได้ภายใน 2 สัปดาห์ ควรปรับขนาดยาหลังจากได้รับการตอบสนองที่น่าพึงพอใจ

    การใช้งาน

    เพื่อการจัดการกับสัญญาณและอาการของโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์แบบเฉียบพลันหรือระยะยาว

    ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการปวด

    • สำหรับยาออกฤทธิ์ทันที 200 มก. ถึง 400 มก. รับประทานทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมง
    • ขนาดยาสูงสุด 1000 มก./วัน

    การใช้งาน

    เพื่อจัดการกับอาการปวดเฉียบพลัน

    การปรับขนาดยาสำหรับไต

    • ไตวายระดับเบาถึงปานกลาง ไม่มีการปรับขนาดยาที่แนะนำ
    • โรคไตระดับรุนแรง ไม่แนะนำให้ใช้ยา หากจำเป็นต้องใช้ควรเฝ้าระวังการทำงานของไตอย่างใกล้ชิด

    การปรับขนาดยาสำหรับตับ

    • ผู้ป่วยที่มีผลการตรวจตับผิดปกติหรือผู้ที่มีสัญญาณหรืออาการของตับวายควรทำการตรวจหาภาวะตับวาย
    • หากเกิดโรคตับขึ้นหรือมีอาการทั่วร่างกาย เช่นภาวะเซลล์เม็ดเลือดขาวอีโอซิโนฟิลต่ำ (eosinophilia) หรือาการผดผื่น ควรหยุดใช้ยานี้

    การปรับขนาดยา

    ผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุอาจจะต้องใช้ยาในขนาดที่ต่ำกว่าเนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่าในการเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์และเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะตับ และ/หรือไตบกพร่องร่วมกัน

    กระบวนการไดอะไลซิส (Dialysis)

    การฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) ไม่มีการปรับขนาดยาที่แนะนำ

    คำแนะนำอื่นๆ

    การเก็บรักษา

    • เก็บให้พ้นจากความร้อนและความชื้น
    • เก็บให้พ้นจากแสง

    ทั่วไป

    • ก่อนเริ่มต้นการรักษา ควรเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงของการใช้ยานี้กับวิธีการรักษาอื่นๆ
    • ควรใช้ยาในขนาดต่ำที่สุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดที่สอดคล้องกับเป้าหมายการรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย
    • การใช้ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวาย โรคหัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดสมอง อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นเวลาใดก็ได้ระหว่างการรักษาและจะเพิ่มขึ้นกับผู้ที่ใช้ยาเป็นเวลานาน ผู้เคยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดหรือมีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และผู้ที่ใช้ยาในขนาดสูง

    การเฝ้าระวัง

    • โรคหัวใจและหลอดเลือด เฝ้าระวังความดันโลหิตอย่างใกล้ชิดในช่วงเริ่มต้นการรักษาและตลอดระยะเวลาการรักษา
    • ระบบทางเดินอาหาร เฝ้าระวังสัญญาณและอาการของโรคเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
    • เลือด ตรวจนับความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดและข้อมูลทางเคมีเป็นระยะๆ ของการรักษาในระยะยาว
    • สมรรถภาพของไต เฝ้าระวังสถานะของไต โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโปรสตาแกลนดินส์ของไต (renal prostaglandins) นั้นมีบทบาทในการสนับสนุนการรักษาระดับเลือดที่มาเลี้ยงไต
    • เฝ้าระวังจำนวนเม็ดเลือด สมรรถภาพของไต และสมรรถภาพของตับเป็นระยะๆ สำหรับผู้ป่วยที่รับการรักษาในระยะยาว

    คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย

    • ผู้ป่วยควรรับคำแนะนำทางการแพทย์หากเกิดสัญญาณและอาการที่ระบบทางเดินอาหาร ปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ต่อผิว อาการแพ้ ความเป็นพิษต่อตับ หรืออาการน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างหาสาเหตุไม่ได้หรือบวมน้ำ (edema)
    • ผู้ป่วยควรรับการรักษาในทันทีหากมีสัญญาณหรืออาการของโรคหัวใจและหลอดเลือด ทั้งอาการหายใจติดขัด พูดไม่ชัด เจ็บหน้าอก หรืออ่อนแรงที่ด้านหนึ่งของร่างกาย
    • ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หากตั้ครรภ์ มีแผนที่จะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้มบุตร ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์

    ขนาดยาเอโทโดแลคสำหรับเด็ก

    ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในเด็ก (Juvenile Rheumatoid Arthritis)

    ยาออกฤทธิ์นาน

    อายุ 6 ถึง 16 ปี

    • น้ำหนัก 20 ถึง 30 กก. 400 มก. รับประทานวันละครั้ง
    • น้ำหนัก 31 ถึง 45 กก. 600 มก. รับประทานวันละครั้ง
    • น้ำหนัก 40 ถึง 60 กก. 480 มก. รับประทานวันละครั้ง
    • น้ำหนักมากกว่า 60 กก. 1000 มก. รับประทานวันละครั้ง

    อายุ 17 ถึง 18 ปี

    400 มก. ถึง 1000 มก. รับประทานวันละครั้ง

    การใช้งาน

    เพื่อบรรเทาสัญญาณและอาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในเด็ก

    ข้อควรระวัง

    • สำหรับยาออกฤทธิ์นาน ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยาในผู้เด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี
    • สำหรับยาออกฤทธิ์ทันที ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยาในผู้เด็กที่อายุน้อยกว่า 18 ปี

    รูปแบบของยา

    ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้

    • ยาแคปซูลสำหรับรับประทาน
    • ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
    • ยาเม็ดสำหรับรับประทานแบบออกฤทธิ์นาน

    กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด

    หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

    กรณีลืมใช้ยา

    หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา