ข้อบ่งใช้
ยา ไดฟลูนิซอล ใช้สำหรับ
ยาไดฟลูนิซอล (Diflunisal) ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดจากสภาวะต่างๆ ระดับเบาถึงปานกลาง ยานี้จะช่วยลดอาการปวด อาการบวม และอาการข้อแข็งเกร็งเนื่องจากโรคข้ออักเสบ การบรรเทาอาการเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ยานี้อยู่ในกลุ่มของยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID)
วิธีการใช้ยา ไดฟลูนิซอล
รับประทานยานี้พร้อมกับดื่มน้ำหนึ่งแก้ว (8 ออนซ์ หรือ 240 มล.) เว้นเสียแต่ว่าแพทย์จะสั่งให้คุณทำแบบอื่น อย่าล้มตัวลงนอนเป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาทีหลังจากรับประทานยา รับประทานยาพร้อมกับอาหารหรือนมหรือหลังจากมื้ออาหารทันทีเพื่อป้องกันอาการท้องไส้ปั่นป่วน
กลืนยาลงไปทั้งเม็ด อย่าบดหรือเคี้ยวเม็ดยาเพราะอาจจะเพิ่มผลข้างเคียงได้
ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์และการตอบสนองต่อการรักษา อย่าใช้มากกว่า 1,500 มก. ต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร ใช้ยานี้ในขนาดต่ำที่สุดเท่าที่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่สั้นที่สุด อย่าเพิ่มขนาดยาหรือใช้ยาบ่อยกว่าที่กำหนด สำหรับโรคเรื้อรังอย่างโรคข้ออักเสบ ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์กำหนด โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยา
สำหรับสภาวะบางอย่าง เช่น โรคข้ออักเสบ อาจต้องใช้ยาเป็นประจำเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์กว่าที่คุณจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากยา
หากคุณใช้ยานี้เท่าที่จำเป็น (ไม่ได้ใช้เป็นประจำ) โปรดจำไว้ว่ายาแก้ปวดจะทำงานได้ดีที่สุดหากใช้เมื่อเริ่มมีอาการ หากคุณรอให้อาการปวดรุนแรงอาจทำให้ยาไม่ได้ผลนัก
โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณแย่ลง
การเก็บรักษายา ไดฟลูนิซอล
ยาไดฟลูนิซอลควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาไดฟลูนิซอลบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาไดฟลูนิซอลลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูก สอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา ไดฟลูนิซอล
ก่อนใช้ยาไดฟลูนิซอล แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือแพ้ต่อยาแอสไพรินหรือยาซาลิไซเลตอื่นๆ (salicylates) เช่น ยาโคลีน ซาลิไซเลต (choline salicylate) หรือแพ้ต่อยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์อื่นๆ เช่นอ ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ยานาพรอกเซน (naproxen) หรือยาเซเลโคซิบ (celecoxib) หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนประกอบไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะโรคหอบหืด รวมถึงเคยมีอาการหายใจติดขัดหลังจากใช้ยาแอสไพรินหรือยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ โรคตับ โรคเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดี ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ลำไส้ หรือหลอดอาหาร เช่น มีเลือดออกหรือมีแผล โรคหัวใจ เช่นเคยมีอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง มีอาการบวม บวมน้ำ ภาวะคั่งน้ำ ความผิดปกติของเลือด เช่น ภาวะโลหิตจาง ปัญหาเกี่ยวกับการตกเลือดหรือลิ่มเลือด โรคริดสีดวงจมูก (nasal polyps)
การใช้ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์รวมถึงยาไดฟลูนิซอลในบางครั้งอาจจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับไตได้ ปัญหานี้มักจะเกิดหากคุณมีภาวะขาดน้ำ เป็นโรคหัวใจล้มเหลวหรือโรคไต และเป็นผู้สูงอายุหรือกำลังใช้ยาบางชนิด (อ่านเพิ่มเติมในส่วนปฏิกิริยาของยา) ควรดื่มน้ำให้มากตามที่แพทย์กำหนดเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและโปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากปริมาณของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบว่าคุณกำลังใช้ยานี้
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนหรือง่วงซึม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกัญชานั้นอาจทำให้อาการวิงเวียนหรือง่วงซึมรุนแรงขึ้นได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวจนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย จำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปรึกษาแพทย์หากคุณใช้กัญชา
ยานี้อาจจะทำให้เกิดอาการเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ การดื่มสุราและการสูบบุหรี่ทุกวันอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการเลือดออกในกระเพาะได้ โดยเฉพาะหากใช้ยานี้ร่วมด้วย ควรจำกัดการดื่มสุราและหยุดสุบบุหรี่ โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะอาการเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้และปัญหาเกี่ยวกับไต
ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี และเนื่องจากยาไดฟลูนิซอลนั้นเกี่ยวข้องกับยาแอสไพริน เด็กและวัยรุ่นไม่ควรใช้ยานี้หากกำลังเป็นโรคอีสุกอีใส โรคไข้หวัดใหญ่ หรืออาการป่วยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยอื่นๆ โดยไม่ปรึกษากับแพทย์เกี่ยวกับกลุ่มอาการราย (Reye’s syndrome) ซึ่งเป็นอาการป่วยที่หายากแต่รุนแรงเสียก่อน
ก่อนใช้ยานี้ ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยา เช่น การแท้งบุตรหรือการตั้งครรภ์ได้ยาก โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณตั้งครรภ์ หรือมีแผนที่จะตั้งครรภ์ ระหว่างการตั้งครรภ์นั้นควรใช้ยานี้ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้ยาในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์เนื่องจากอาจจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์และส่งผลกระทบต่อการคลอดบุตรตามปกติ
ยานี้สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้ ดังนั้นจึงไม่แนะนำการให้นมบุตรขณะใช้ยานี้ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
ยาไดฟลูนิซอลจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด C โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X= ห้ามใช้
- N= ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยา ไดฟลูนิซอล
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน แสบร้อนกลางอก ปวดหัว เหนื่อยล้า ง่วงซึม หรือวิงเวียน หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้นโปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที
โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นแต่รุนแรงดังนี้ ปวดท้อง มีอาการบวมที่มือหรือเท้า น้ำหนักขึ้นอย่างกะทันหันหรือหาสาเหตุไม่ได้ การมองเห็นเปลี่ยนแปลง เช่น มีเสียงอื้อในหู มีความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจหรืออารมณ์ เช่น สับสน มองเห็นภาพหลอน หัวใจเต้นเร็วหรือรัว อาการปวดหัวเรื้อรังหรือรุนแรง หมดสติ กลืนลำบากหรือมีอาการปวดขณะกลืน
โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดอาการที่หายากแต่รุนแรงมากดังต่อไปนี้ สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไต เช่น ปริมาณของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง มีรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย สัญญาณของการติดเชื้อ เช่น เป็นไข้ เจ็บคอเรื้อรัง มีอาการคอแข็งเกร็งโดยหาสาเหตุไม่ได้
ในนานๆ ครั้งยานี้อาจจะทำให้เกิดโรคตับที่รุนแรง (อาจถึงแก่ชีวิต) หากคุณสังเกตเห็นผลข้างเคียงที่หายากแต่รุนแรงดังต่อไปนี้ควรหยุดใช้ยาและแจ้งให้แพทย์ทราบทันที ดวงตาหรือผิวหนังเป็นสีเหลือง ปัสสาวะสีคล้ำ เหนื่อยล้าอย่างผิดปกติหรือรุนแรง ปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้อาเจียนตลอด
การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้ ผดผื่น คันหรือบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาที่อาจจะมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่
- ยาอะลิสคิเรน (aliskiren)
- ยาในกลุ่มเอซีอีอินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitors) อย่าง ยาแคปโทพริล (captopril) หรือยาลิซิโนพริล (lisinopril)
- ยาในกลุ่มแองจิโอเทนซินทูรีเซฟเตอร์บล็อกเกอร์ (angiotensin II receptor blockers) อย่างยาโลซาร์แทน (losartan) หรือวาลซาร์แทน (valsartan)
- ยาลดกรด (ใช้เป็นประจำ)
- ยาซิโดโฟเวียร์ (cidofovir)
- ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) อย่างยาเพรดนิโซน (prednisone)
- ยาไดจอกซิน (digoxin)
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่เชื้อเป็น
- ยาลิเทียม (lithium)
- ยาเมโทเทรเซต (methotrexate)
- ยาเพมิเทรกเซด (pemetrexed)
- ยาโพรเบเนซิด (probenecid)
- ยาขับน้ำหรือยาขับปัสสาวะ อย่างยาฟูโรเซไมด์ (furosemide) ยาไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ (hydrochlorothiazide) หรือยาไตรแอมเทอรีน (triamterene)
ยานี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการตกเลือดได้หากใช้ร่วมกับยาอื่นที่อาจทำให้ตกเลือดได้ เช่น ยาต้านเกล็ดเลือดอย่างยาคลอพิโดเกรล (clopidogrel) ยาเจือจางเลือดอย่างดาบิกาแทรน (dabigatran) อีนอกซาพาริน (enoxaparin) หรือวาฟาริน (warfarin) และอื่นๆ
ควรอ่านฉลากยาทั้งยาตามใบสั่งแพทย์และยาที่หาซื้อเองทั้งหมดอย่างละเอียดเนื่องจากยาเหล่านี้อาจจะมีส่วนผสมของยาบรรเทาอาการปวดหรือลดไข้ อย่างยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ยาอินโดเมทาซิน (indomethacin) ยาคีโตแลค (ketorolac) หรือยานาพรอกเซน (naproxen) ซึ่งเมื่อใช้ร่วมกับยาไดฟลูนิซอลแล้วอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงได้ แต่ควรใช้ยาแอสไพรินขนาดต่ำที่แพทย์สั่งให้ใช้สำหรับเหตุผลทางการแพทย์ เช่นใช้เพื่อป้องกันโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองต่อไป (ขนาดยาโดยปกติคือ 81-325 มก. ต่อวัน) โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อผลการตรวจในห้องแล็บบางชนิดได้ โปรดแจ้งบุคลากรในห้องแล็บและแพทย์ของคุณทุกคนให้ทราบว่าคุณกำลังใช้ยานี้
ยาไดฟลูนิซอลอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาไดฟลูนิซอลอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาไดฟลูนิซอลอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาไดฟลูนิซอลสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการปวด
- ขนาดยาเริ่มต้น 1000 มก. รับประทานหนึ่งครั้ง
- ขนาดยาปกติ 500 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง ผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องใช้ยาในขนาด 500 มก. ทุกๆ 8 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด 1500 มก./วัน
คำแนะนำ
การใช้ยาในขนาดต่ำกว่าอาจจะเหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่นระดับความรุนแรง การตอบสนองของผู้ป่วย น้ำหนักตัว หรืออายุที่เพิ่มขึ้น เช่นอาจใช้ยาในขนาดเริ่มต้นที่ 500 มก. ตามด้วย 250 มก. ทุกๆ 8 ถึง 12 ชั่วโมง
การใช้งาน
เพื่อรักษาอาการปวดระดับเบาถึงปานกลาง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis)
500 ถึง 1000 มก. แบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง
คำแนะนำ
- อาจเพิ่มหรือลดขนาดยาโดยขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้ป่วย
- ไม่ควรเกิน 1500 มก./วัน
การใช้งาน
เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)
500 ถึง 1000 มก. แบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง
คำแนะนำ
- อาจเพิ่มหรือลดขนาดยาโดยขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้ป่วย
- ไม่ควรเกิน 1500 มก./วัน
การใช้งาน
เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
การปรับขนาดยาสำหรับไต
ไตบกพร่องระดับรุนแรง ไม่แนะนำให้ใช้ยา หากจำเป็นต้องใช้ยานี้ควรเฝ้าระวังการทำงานของไตอย่างใกล้ชิด
การปรับขนาดยาสำหรับตับ
- ผู้ป่วยที่มีผลการตรวจตับผิดปกติหรือผู้ที่มีสัญญาณหรืออาการของตับบกพร่องควรทำการประเมินหาปฏิกิริยาของตับที่รุนแรงมากขึ้น
- หากเกิดโรคตับหรืออาการทั่วร่างกายขึ้น เข่นเซลล์เม็ดเลือดขาวอีออสซิฟิลต่ำ (eosinophilia) หรือผดผื่น ควรหยุดใช้ยานี้
การปรับขนาดยา
ผู้สูงอายุอาจจะต้องใช้ยาในขนาดต่ำกว่าเนื่องจากความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นและโอกาสในการเกิดอาการไตบกพร่องร่วมด้วยจะเพิ่มสูงขึ้น
คำแนะนำอื่นๆ
คำแนะนำการใช้ยา
- กลืนยาลงไปทั้งเม็ด ไม่ต้องบดหรือเคี้ยวยา
ทั่วไป
- สำหรับยานี้นั้นเภสัชจลนศาสตร์ที่ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นจะมีอำนาจเหนือกว่า การเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่าจะให้ผลมากกว่าการสะสมยาเป็นสองเท่า และผลของยาจะเห็นได้ชัดมากขึ้นจากการใช้ยาซ้ำๆ
- หลังจากการตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้น ควรปรับขนาดยาและความถี่ในการใช้ยาเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน
- ก่อนเริ่มต้นการรักษาควรพิจารณาโอกาสในการเกิดความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาเทียบกับวิธีการรักษาอื่น
- ควรใช้ขนาดยาต่ำที่สุดที่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่สั้นที่สุดที่เหมาะสมกับเป้าหมายการรักษาของผู้ป่วยแต่ละคน
- การใช้ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการหัวใจวาย หัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดสมอง อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นเวลาใดก็ได้และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหากใช้ยาเป็นเวลานาน เป็นผู้ป่วยที่เคยเป็นหรือมีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และเป็นผู้ที่ใช้ยาในขนาดสูง
การเฝ้าระวัง
- หัวใจและหลอดเลือด เฝ้าระวังความดันโลหิตอย่างใกล้ชิดในช่วงเริ่มต้นการรักษาและตลอดระยะเวลาการรักษา
- ระบบทางเดินอาหาร เฝ้าระวังสัญญาณหรืออาการเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
- การทำงานของไต เฝ้าระวังสถานะของไต โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่สารโปรสตาแกลนดินส์ของไต (renal prostaglandins) มีบทบาทในการสนับสนุนการรักษาระดับของเลือดที่ไปเลี้ยงไต
- เฝ้าระวังจำนวนเม็ดเลือด การทำงานของไต และการทำงานของตับเป็นระยะๆ สำหรับผู้ป่วยที่รับการรักษาเป็นเวลานาน
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย
- ผู้ป่วยควรรับการรักษาในทันทีหากมีสัญญาณและอาการเกี่ยวข้องระบบทางเดินอาหาร อาการแพ้ที่ผิวหนัง อาการแพ้ ความเป็นพิษต่อตับ หรืออาการน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างหาสาเหตุไม่ได้หรือบวมน้ำ
- ผู้ป่วยควรรับการรักษาในทันทีหากเกิดสัญญาณหรืออาการเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด ทั้งอาการหายใจติดขัด พูดไม่ชัด ปวดหน้าอก หรืออ่อนแรงที่ด้านหนึ่งของร่างกาย
- ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หากตั้งครรภ์ มีแผนที่จะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ไม่ควรใช้ยานี้ขณะให้นมบุตรหรือตั้งครรภ์
ขนาดยาไดฟลูนิซอลสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาอาการปวด
อายุ 12 ปีขึ้นไป
- ขนาดยาเริ่มต้น 1000 มก. รับประทานหนึ่งครั้ง
- ขนาดยาปกติ 500 มก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง ผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องใช้ยาในขนาด 500 มก. ทุกๆ 8 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด 1500 มก./วัน
คำแนะนำ
การใช้ยาในขนาดต่ำกว่าอาจจะเหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่นระดับความรุนแรง การตอบสนองของผู้ป่วย น้ำหนักตัว หรืออายุที่เพิ่มขึ้น เช่นอาจใช้ยาในขนาดเริ่มต้นที่ 500 มก. ตามด้วย 250 มก. ทุกๆ 8 ถึง 12 ชั่วโมง
การใช้งาน
เพื่อรักษาอาการปวดระดับเบาถึงปานกลาง
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม
อายุ 12 ปีขึ้นไป 500 ถึง 1000 มก. แบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง
คำแนะนำ
- อาจเพิ่มหรือลดขนาดยาโดยขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้ป่วย
- ไม่ควรเกิน 1500 มก./วัน
การใช้งาน
เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
อายุ 12 ปีขึ้นไป
500 ถึง 1000 มก. แบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง
คำแนะนำ
- อาจเพิ่มหรือลดขนาดยาโดยขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้ป่วย
- ไม่ควรเกิน 1500 มก./วัน
การใช้งาน
เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อมและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
รูปแบบของยา
ขนาดและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาเม็ด
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]