สรรพคุณของไลโคปีน
ไลโคปีนพบได้ในผลไม้หลายชนิด เช่น แตงโม เกรปฟรุตสีชมพู แอปริคอต และฝรั่งสีชมพู โดยเฉพาะมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ ซึ่งมีไลโคปีนจำนวนมาก
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ
ไลโคปีนพบได้ในผลไม้หลายชนิด เช่น แตงโม เกรปฟรุตสีชมพู แอปริคอต และฝรั่งสีชมพู โดยเฉพาะมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ ซึ่งมีไลโคปีนจำนวนมาก
ไลโคปีนใช้เพื่อดูแลป้องกันภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น:
ไลโคปีนใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสปาปิโลมา (Papilloma) หรือเอชพีวี (HPV) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งมดลูก อาจมีการนำไลโคปีนไปใช้งานอื่นๆ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้
ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงมีความสนใจวิจัยคุณสมบัติไลโคปีนในการป้องกันโรคมะเร็ง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรของคุณเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม
สิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้ไลโคปีน:
ปรึกษาแพทย์ เภสัชกรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในกรณีที่:
ข้อกำหนดสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไลโคปีนนั้นมีความเข้มงวดน้อยกว่าข้อกำหนดยาอื่น ๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัย การใช้ผลิตภัณฑ์นี้ต้องมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
เด็ก:
ไม่มีมีการรับรองความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพในการใช้ไลโคปีนกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
การตั้งครรภ์และให้นมบุตร:
ไลโคปีนอาจปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตรหากรับประทานในขนาดยาที่พบได้ทั่วไปในอาหาร
อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาเกี่ยวกับไลโคปีนพบว่า เมื่อรับประทานไลโคปีนเป็นประจำ วันละ 2 มิลลิกรัม ระหว่างช่วงสัปดาห์ที่ 12 ถึง 20 ของการตั้งครรภ์ และต่อเนื่องจนถึงการคลอด จะทำให้อัตราการคลอดก่อนกำหนดสูงขึ้นและทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อย
เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารเสริมไลโคปีนในระหว่างเลี้ยงลูกด้วยนมมีไม่เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ไลโคปีนในขนาดที่มากกว่าอาหาร
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการใช้ไลโคปีน
ในบางรายอาจได้รับผลข้างเคียงบางอย่างที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลข้างเคียงใด ๆ โปรดปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรของคุณ
ไลโคปีนอาจมีปฏิกิริยาระหว่างยาหรือสภาวะทางการแพทย์ในปัจจุบันของคุณ ปรึกษากับแพทย์รักษาสมุนไพรหรือแพทย์ก่อนใช้
ยาหรือภาวะสุขภาพเหล่านี้ ได้แก่:
การรับประทานเบต้าแคโรทีนและไลโคปีนอาจเพิ่มขนาดยาไลโคปีนที่เข้าสู่ร่างกาย
การรับประทาน olestra อาจลดขนาดยาไลโคปีนที่ร่างกายดูดซึม
ไลโคปีนอาจมีปฏิกิริยากับไอโซฟลาโวน (Isoflavones) คือ สารสกัดจากถั่วเหลืองมีฤทธิ์และโครงสร้างคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน
มะเร็งต่อมลูกหมาก:
การศึกษาบางชิ้น พบว่า ไลโคปีนอาจเพิ่มการแพร่กระจายของมะเร็งได้ ควรหลีกเลี่ยงไลโคปีน ถ้าคุณได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
ความดันโลหิตต่ำ:
ไลโคปีนอาจทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ
ภาวะเลือดออกผิดปกติ:
ไลโคปีนอาจมีความเสี่ยงสูงต่อการตกเลือด
ข้อมูลที่ได้รับไม่ใช่คำแนะนำจากแพทย์โดยตรง ปรึกษาแพทย์ประจำตัวหรือแพทย์ของคุณก่อนที่จะใช้ยานี้
ใช้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ:
การรับประทานไลโคปีน 6.5, 15 และ 30 มิลลิกรัม ต่อวัน เป็นเวลา8 สัปดาห์
รับประทานไลโคปีนซูล 15 มิลลิกรัม วันละครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์และ 26 วัน หรือวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 เดือน หรือสองแคปซูลๆ ละ15 มิลลิกรัมวันละครั้งเป็นเวลา 21 วัน
สำหรับโรคหืดที่เกิดจากการออกกำลังกาย:
สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ:
สำหรับต่อมลูกหมากโต:
สำหรับเนื้องอกในสมอง:
สำหรับโรคหัวใจ:
สำหรับโรคเหงือก:
สำหรับความดันโลหิตสูง:
สำหรับภาวะมีบุตรยาก:
สำหรับการลดไขมัน:
สำหรับแผลในปาก:
สำหรับการอักเสบของปาก:
สำหรับมะเร็งรังไข่:
สำหรับความดันโลหิตสูงที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์:
สำหรับการป้องกันหรือรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก:
เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด:
ขนาดปกติของการใช้ไลโคปีนอาจแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพและการใช้ยาอื่น ๆ อาหารเสริมสมุนไพรไม่ปลอดภัยเสมอไป ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญด้านสมุนไพรหรือแพทย์เพื่อทราบขนาดยาที่เหมาะสม
ไลโคปีน อาจมีอยู่ในรูปแบบต่อไปนี้:
*** Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาแต่อย่างใด ***
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย
ทีม Hello คุณหมอ
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย