ฝีฝักบัว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส ทำให้ผิวหนังบริเวณที่มีรูขุมขนเกิดการอักเสบจนเกิดก้อนเนื้อขนาดใหญ่ที่มีหนองและเซลล์ผิวที่ตายแล้วอยู่ภายใน เมื่อปริมาณของหนองเพิ่มขึ้นก็อาจทำให้ก้อนเนื้อใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนแตกและมีหนองไหลออกมา ส่งผลทำให้เกิดอาการเจ็บปวด แต่บางครั้งหนองที่อยู่ในก้อนเนื้อก็อาจไม่สามารถไหลออกมาเองได้ จึงต้องเข้ารบการรักษาจากคุรหมออย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณที่เป็นแผล
ฝีฝักบัว คืออะไร
ฝีฝักบัว (Carbuncles) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) ส่งผลทำให้ผิวหนังบริเวณที่มีรูขุมขนเกิดการอักเสบจนเกิดก้อนเนื้อขนาดใหญ่ที่มีหนองและเซลล์ผิวที่ตายแล้วอยู่ภายใน เมื่อปริมาณของหนองเพิ่มขึ้นก็อาจทำให้ก้อนเนื้อใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนแตกและมีหนองไหลออกมา ส่งผลทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ระคายเคืองภายใต้ผิวหนัง ซึ่งบริเวณที่อาจเกิดฝีฝักบัวได้บ่อย ได้แก่ ใบหน้า หลังคอ รักแร้ ต้นขา ก้น และอาจพบได้มากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
อาการของฝีฝักบัว
สำหรับอาการที่อาจเกิดขึ้นจากฝีฝักบัวมีดังนี้
- ผิวหนังเกิดบวมและตุ่มสีชมพูหรือแดง
- มีอาการคันก่อนที่ก้อนเนื้อจะปรากฏขึ้นมา
- เจ็บปวดผิวหนังรอบ ๆ บริเวณที่เกิดก้อนเนื้อ
- ก้อนเนื้อมีหนองเกิดขึ้นและอาจขยายใหญ่ขึ้นใน 2-3 วัน
- ผิวหยาบกร้าน และมีหนองไหลออกมา
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- รู้สึกเมื่อยล้า อ่อนเพลีย
- หนาวสั่นและมีไข้
สาเหตุของการเกิดฝีฝักบัว
ฝีฝักบัวอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า สแตฟิโลค็อกคัสออเรียส (Staphylococcus Aureus) กระจายเข้าสู่รุขุมขนผ่านทางบาดแผลหรือรอยขีดข่วน ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ ผิวหนังอักเสบ และเป็นหนอง ซึ่งฝีฝักบัวสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่อับชื้น เช่น บริเวณด้านหลังของคอ ต้นขา รักแร้ ก้น หรือบริเวณที่มีเหงื่อออก โดยผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นฝีฝักบัวได้มากกว่าคนอื่น ๆ ได้แก่
- โรคเบาหวาน
- โรคไต
- โรคตับ
- โรคอ้วน
- โรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น โรคสะเก็ดเงิน กลาก
- ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งส่งผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ผู้ที่รักษาสุขอนามัยที่ไม่ดี เช่น ไม่อาบน้ำ
- ผู้ที่ใช้ของใช้บางอย่างร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ผ้าขนหนู
- ผู้ที่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อสแตฟิโลค็อกคัสออเรียส
- ผู้ที่โกนหนวดหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดบาดแผลที่ผิวหนัง
วิธีรักษาฝีฝักบัว
วิธีการรักษาฝีฝักบัวอาจทำได้ด้วยหลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่ระดับความรุนแรงของอาการและบริเวณที่เกิดฝีฝักบัว แต่หากเป็นฝีที่ใบหน้า ใกล้กระดูกสันหลัง มีขนาดใหญ่ขึ้นและรักษาไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ หรือมีฝีขึ้นหลายหัวติด ๆ กัน ควรไปพบคุณหมอเพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง เช่น
- การรับประทานยาปฏิชีวนะ เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน (Dicloxacillin) อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) เพื่อบรรเทาอาการปวด โดยคุณหมออาจให้รับประทานต่อเนื่องเป็นอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจช่วยป้องกันการเกิดฝี และต้านเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง
- การผ่าตัด หากฝีมีขนาดใหญ่ คุณหมออาจระบายหนองออกด้วยการผ่าตัดหรือใช้เข็ม รวมถึงอาจต้องเอาเซลล์ผืวที่ตายแล้วออกด้วย
วิธีป้องกันฝีฝักบัว
การมีสุขอนามัยที่ดีอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฝีฝักบัวได้ นอกจากนั้นควรดูแลตัวเองด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- รับประทานยาตามที่คุณหมอสั่งให้ครบถ้วน และไม่ควรหยุดยาเองแม้ฝีจะยุบไปแล้ว
- ประคบร้อนบริเวณที่เป็นฝีวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที
- หลีกเลี่ยงการเอาฝีไปสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ รวมถึงไม่ควรบีบหรือเจาะหนองออกด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น และแผลอาจเกิดการติดเชื้อ
- หากหนองแตกควรทำแผลอย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง ด้วยอุปกรณ์ทำแผลที่สะอาด
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังการใช้ห้องน้ำ
- อาบน้ำบ่อย ๆ เพื่อให้ผิวของคุณปราศจากเชื้อแบคทีเรีย
- ทำความสะอาดผ้าปูที่นอน เสื้อผ้า ชุดชั้นใo และผ้าเช็ดตัว เป็นประจำ และไม่ควรใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- ควรไปพบคุณหมอหากมีอาการป่วยหรือมีปัญหาผิวอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดแผลบนร่างกาย
[embed-health-tool-heart-rate]