ต้อหิน เป็นกลุ่มอาการตาที่ทำลายเส้นประสาทตา ที่อาจเกิดจากความดันภายในลูกตาสูงผิดปกติ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่อาจส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นได้ โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป การ ผ่าตัดต้อหิน จึงอาจเป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็น หากการรักษาด้วยยาหยอดตาให้ผลไม่ชัดเจน
ผ่าตัดต้อหิน ด้วยวิธีใดได้บ้าง
การรักษาต้อหินขึ้นอยู่กับประเภท และสาเหตุของต้อหิน คุณหมออาจเลือกวิธี การผ่าตัดต้อหิน ที่เหมาะสม ดังต่อไปนี้
-
เจาะรูระบายน้ำภายในลูกตา (Trabeculectomy)
คุณหมอจะทำการเจาะรูขนาดเล็กในลูกตาเพื่อเพิ่มช่องทางการระบายของเหลวออก ทำให้ความดันในดวงตาลดลง
-
การผ่าตัดใส่อุปกรณ์ระบายของเหลว
โดยการใส่ท่อระบายน้ำขนาดเล็กในดวงตา เพื่อระบายน้ำส่งต่อไปยังบริเวณใต้เยื่อบุลูกตา นำไปสู่การดูดซึมเข้าสู่หลอดเลือดตามธรรมชาติของระบบการทำงานของร่างกาย
-
การผ่าตัดต้อกระจก
เป็นการผ่าตัดเปิดเลนส์ตา เพื่อช่วยลดความดันในตา เนื่องจากโรคต้อหินมีม่านตาและกระจกตาที่อยู่ใกล้กันเกินไป ส่งผลให้ไม่สามารถระบายของเหลวได้ ดังนั้นการผ่าตัดด้วยวิธีนี้อาจสร้างระยะห่างของม่านตา และกระจกตาที่ช่วยให้ระบายของเหลวออกจากตาได้มากขึ้น
นอกจาก การผ่าตัดต้อหิน ยังมีการรักษาด้วยเลเซอร์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่อาจช่วยลดความดันในตา และระบายของเหลวของจากดวงตาได้ ถึงอย่างไรการเลือกวิธีการรักษาต้องผ่านการตรวจและประเมินอาการเบื้องต้น เพื่อลดความเสี่ยงที่ผู้ป่วยอาจเผชิญได้หลังการผ่าตัด
ความเสี่ยงหลังการผ่าตัด
การผ่าตัดต้อหิน อาจทำให้เกิดความเสี่ยงบางอย่างหลังจากการผ่าตัด หรือระหว่างการพักฟื้นดวงตาได้ ดังนี้
- ปวดตา ตาแดง ตาบวม
- ระคายเคืองดวงตา
- เลือดออกในตา
- การติดเชื้อ และการอักเสบ
- ความดันในตาอยู่ในระดับต่ำ หรือระดับสูงจนเกินไป
- ตาพร่ามัวเป็นเวลานาน
- ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง หรืออาจสูญเสียการมองเห็น
การดูแลตัวเองหลัง การผ่าตัดต้อหิน
หลังการผ่าตัดต้อหินควรงดทำกิจกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก ได้แก่
- งดอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ เล่นโทรศัพท์ หรือใช้สายตากับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
- งดออกกำลังกาย และยกของหนัก
- หลีกเลี่ยงการสวมใส่คอนแทคเลนส์
- งดใช้เครื่องสำอางและสกินแคร์บริเวณใบหน้า เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อแบคทีเรีย
- ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะจนกว่าตาจะหายดี