อาการ ตากระตุก หรือ ตาเขม่น หลายคนอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องของโชคลาง หรือลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง แม้เราจะไม่รู้แน่ชัดว่าอาการตากระตุกนี้เป็นลางบอกเหตุจริงหรือไม่ แต่อย่างหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือ อาการตากระตุกที่เกิดขึ้น อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าสุขภาพของคุณกำลังมีปัญหาซึ่งคุณไม่ควรละเลย
ตากระตุกคืออะไร
ตากระตุก หรือ หนังตากระตุก (eyelid twitch) ที่หลายคนเรียก “ตาเขม่น” นั้น ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะกล้ามเนื้อหนังตากระตุก (Blepharospasm) เกิดจากการส่งกระแสประสาทมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อออบิคูลารีสออรีส (orbicularis oris muscle) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่เรียงอยู่รอบเปลือกตาหรือหนังตาบนและล่างมากเกินไป ทำให้เปลือกตากระตุกเองแบบไม่สามารถควบคุมได้ มักเกิดกับเปลือกตาบน และเป็นที่ตาข้างเดียว โดยเปลือกตาจะกระตุกยิบๆ ต่อเนื่องเป็นพักๆ ส่วนใหญ่จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่บางคนอาจมีอาการยาวนานเป็นปี
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะ ตากระตุก
ตากระตุกส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากปัญหาสุขภาพร้ายแรง และมักมาจากสิ่งกระตุ้นเหล่านี้
- ความเครียดและความวิตกกังวล
- ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย
- อาการตาล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการตาล้าที่เกิดจากการจ้องหน้าจอเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ เป็นเวลานาน
- สภาพแวดล้อม เช่น ลม แสงสว่าง แสงแดด มลภาวะทางอากาศ
- การอดนอน
- การสูบบุหรี่
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ น้ำอัดลม
- อาการภูมิแพ้ขึ้นตา
- การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม วิตามินบี 12 วิตามินดี
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคลมชัก ยารักษาอาการวิกลจริต
แต่หากตาของคุณกระตุกไม่หายและมีอาการอื่นร่วมด้วย นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพ ดังนี้
ปัญหาสุขภาพตา เช่น
- เปลือกตาอักเสบ (Blepharitis)
- กระจกตาถลอก (Corneal abrasion)
- ภาวะตาแห้ง
- ภาวะหนังตาม้วนเข้าใน
- โรคต้อหิน
ความผิดปกติทางระบบประสาทและสมอง เช่น
- ภาวะกล้ามเนื้อคอเกร็งตัว
- ภาวะกล้ามเนื้อเต้นกระตุกชนิดธรรมดา (Benign Fasciculation Syndrome / BFS)
- ภาวะกล้ามเนื้อบิดเกร็งกระตุก (dystonia)
- โรคอัมพาตใบหน้า
- โรคปลอกประสาทอักเสบชนิดเอ็มเอส (multiple sclerosis / MS)
- โรคพาร์กินสัน
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis / ALS) หรือที่เรียกว่า โรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม (Motor neurone disease / MND)
ทำอย่างไรตาจึงจะหายกระตุก
ตากระตุกส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 2-3 วัน หรือบางรายอาจใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ แต่หากทำตามคำแนะนำเหล่านี้อาจช่วยให้อาการตากระตุกของคุณดีขึ้นได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ประคบตาด้วยผ้าอุ่นเพื่อบรรเทาอาการตาล้า
- ทำกิจกรรมคลายเครียด เช่น เล่นโยคะ ฟังเพลง นั่งสมาธิ ฝึกควบคุมลมหายใจ ใช้เวลากับเพื่อน หรือสัตว์เลี้ยง
- ลดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ชอกโกแลต น้ำอัดลม รวมถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ด้วย
- หากต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ควรใช้กฎ 20-20-20 นั่นคือ จ้องหน้าจอ 20 นาที มองไปที่ไกลๆ อย่างน้อย 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาทีหรือนานกว่านั้น
- หยอดน้ำตาเทียมหรือยาหยอดตาเพื่อให้ตาชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- หากคุณสงสัยว่าอาการตากระตุกที่เกิดขึ้นเป็นเพราะยาบางชนิดที่กินอยู่ ไม่ควรหยุดยาเอง แต่ควรปรึกษาแพทย์ทันที
- อย่ากังวลเกินเหตุ เพราะภาวะตากระตุกส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายและหายได้เอง หากกังวลมากไปอาจทำให้อาการยิ่งแย่ลง
การรักษา
หากใช้วิธีข้างต้นแล้วอาการตากระตุกของคุณยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจแนะนำให้คุณรักษาด้วยวิธีเหล่านี้
- การใช้ยา เช่น โคลนาซีแพม (Clonazepa) ลอราซีแพม (Lorazepam) ไตรเฮกซีเฟนิดิล (Trihexyphenidyl) ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายเท่านั้น
- การฉีดโบท็อกซ์ (Botulinum toxin / Botox) ซึ่งการฉีดแต่ละครั้งจะช่วยให้ตาหายกระตุกได้ประมาณ 3-4 เดือน
- การผ่าตัด ในกรณีที่ตากระตุกรุนแรงอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเอากล้ามเนื้อและเส้นประสาทบางส่วนที่เปลือกตาออกไป
หากเป็นแบบนี้ ควรปรึกษาแพทย์
หากตาของคุณกระตุกเรื้อรัง นานแล้วไม่หายสักที นั่นอาจเป็นสัญญาณของอาการทางสมองหรือระบบประสาทร้ายแรง เมื่อตากระตุกไม่หายร่วมกับอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบคุณหมอทันที
- ตาบวม แดง หรือมีของเหลวไหลออกจากตา
- หนังตาตก
- ตากระตุกแรงจนหนังตาบนและล่างปิดสนิท
- ตากระตุกติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์
- มีอาการกระตุกที่กล้ามเนื้อในหน้าหรือกล้ามเนื้อในส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย