ยาคุมฉุกเฉิน คือ ยาคุมกำเนิดที่ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ถุงยางอนามัยแตกขณะมีเพศสัมพันธ์ ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยไม่มีการป้องกัน ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดตามปกติมากกว่า 3 เม็ดขึ้นไป ฉีดยาคุมกำเนิดล่าช้ากว่า 2-4 สัปดาห์ คำนวณวันตกไข่ผิด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์สำหรับผู้ที่ไม่พร้อมมีบุตร อย่างไรก็ตาม ควรศึกษาวิธี กินยาคุมฉุกเฉิน ให้ถูกวิธี เพราะหากรับประทานผิดวิธีอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้
[embed-health-tool-ovulation]
กินยาคุมฉุกเฉิน ให้ถูกวิธี
การกินยาคุมฉุกเฉินให้ถูกวิธี อาจแตกต่างกันออกไปตามประเภทของยาคุม ดังนี้
- ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel)
เป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่ประกอบด้วยกลุ่มฮอร์โมนโปรเจอเตอโรน (Progesterone) โดย 1 กล่อง จะมี 1 แผง แต่ละแผงจะมีเม็ดยาอยู่ 2 เม็ด เม็ดละ 750 ไมโครกรัม ควรรับประทานเม็ดแรกไม่เกิน 12 ชั่วโมง และอีกเม็ดภายในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง นับจากวันที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรืออาจรับประทาน 2 เม็ดพร้อมกันเพื่อป้องกันการลืม
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรรับประทานเกิน 4 เม็ด หรือ 2 กล่อง ภายในระยะเวลา 1 เดือน เนื่องจากอาจส่งผลต่อการทำงานของร่างกายและอาจเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้
- ยูริพริสทอล อะซิเตท (Ulipristal Acetate)
เป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงกว่าลีโวนอร์เจสเตรล มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโปรเจสติน โดยออกฤทธิ์ต้านการเจริญเติบของของถุงไข่ ยับยั้งการตกไข่ และทำให้ผนังมดลูกบาง ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวได้ โดย 1 กล่องมี 1 แผง และมียาอยู่ 1 เม็ด ควรรับประทานไม่เกิน 120 ชั่วโมงนับจากวันที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
ผลข้างเคียงของการกินยาคุมฉุกเฉิน
ผลข้างเคียงของการกินยาคุมฉุกเฉิน มีดังนี้
- ปวดศีรษะหรือวิงเวียนศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง
- ผื่นขึ้นตามลำตัวและใบหน้า
- ลิ้นบวม
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- อาการปวดท้องน้อยกะทันหัน
ควรเข้าพบคุณหมออย่างรวดเร็วหากรู้สึกไม่สบายหลังจากรับประทานยาคุมฉุกเฉินลีโวนอร์เจสเตรลประมาณ 2 ชั่วโมง ปวดท้องน้อยกะทันหัน ประจำเดือนช้า หรือประจำเดือนมาไม่ปกติ
ทางเลือกอื่นในการคุมกำเนิด
การกินยาคุมฉุกเฉินใช้สำหรับการคุมกำเนิดในกรณีฉุกเฉิน เช่น ถุงยางแตก การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นการคุมกำเนิดตามปกติ หากต้องการคุมกำเนิดในระยะยาว ควรใช้วิธีดังต่อไปนี้
- การทำหมัน เป็นการคุมกำเนิดแบบถาวรที่สามารถทำได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย เพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิเดินทางเข้าไปผสมกับไข่จนเกิดการปฏิสนธิ หรือเพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิออกจากร่างกาย ลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์
- ถุงยางอนามัยผู้ชายและผู้หญิง ที่ผลิตจากน้ำยางพาราหรือโพลียูรีเทน (Polyurethane) มีลักษณะบาง และยืดหยุ่นได้ดี สำหรับถุงยางอนามัยผู้ชายจะมีลักษณะเป็นทรงกระบอกและมีปลายด้านหนึ่งเป็นปลายปิด โดยควรสวมใส่ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ สำหรับถุงยางอนามัยผู้หญิงจะมีปลายแต่ละข้างที่มีขอบยางช่วยยึดให้ถุงยางอยู่กับที่ โดยสวมใส่ด้านที่เป็นปลายปิดเข้าไปในช่องคลอดและใช้นิ้วสอดด้านปลายเปิดเพื่อดันถุงยางเข้าไปบริเวณปากมดลูกและให้ปลายอีกด้านหนึ่งของถุงยางอยู่นอกช่องคลอด เพื่อให้ดึงออกได้ง่าย การสวมใส่ถุงยางอนามัยอาจช่วยป้องกันอสุจิเข้าไปในช่องคลอดเมื่อสำเร็จความใคร่และลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์
- ยาคุมกำเนิดแบบฉีด เป็นการฉีดฮอร์โมนโปรเจสตินเข้ากล้ามเนื้อบริเวณแขนหรือก้น เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างเมือกบริเวณปากมดลูกให้หนาขึ้น ทำให้อสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้ยาก โดยจำเป็นต้องฉีดซ้ำทุก ๆ 3 เดือน หรือตามที่คุณหมอกำหนดก่อนยาจะหมดฤทธิ์
- ฝังยาคุมกำเนิด คือ การฝังยาคุมที่มีลักษณะเป็นแท่งพลาสติกสีขาวขนาดเล็ก โดยจะฝังไว้ใต้ผิวหนังบริเวณแขนหรือก้น เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างเมือกปากมดลูกให้หนาขึ้น ไม่ให้อสุจิเข้ามาผสมกับไข่จนเกิดเป็นการตั้งครรภ์ โดยจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่เมื่อครบกำหนดการใช้งาน
- แผ่นแปะคุมกำเนิด คือ แผ่นที่ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน ใช้สำหรับแปะบริเวณหน้าท้อง หลังแขน และก้น โดยปล่อยฮอร์โมนให้ซึมทางผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ โดยควรเปลี่ยนแผ่นใหม่ทุกสัปดาห์ และยกเว้นในช่วงสัปดาห์ที่ 4 เพื่อให้ประจำเดือนมาตามปกติ
- ห่วงอนามัยคุมกำเนิด (Hormonal IUD) เป็นอุปกรณ์รูปทรงคล้ายตัว T ทำจากพลาสติก หรือทองแดงที่มีฮอร์โมนโปรเจสติน โดยจะใส่เข้าไปบริเวณปากมดลูก เพื่อช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจมีประสิทธิภาพการคุมกำเนิดได้นานประมาณ 3-10 ปี และจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่เมื่อถึงกำหนด
- ไดอะเฟรมครอบปากมดลูก (Diaphragm) เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายถ้วยทำจากซิลิโคนอ่อนนุ่ม ใช้สอดเข้าไปในช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์เพื่อปิดปากมดลูกไม่ให้ตัวอสุจิสามารถเข้าไปในโพรงมดลูกและผสมกับไข่จนปฏิสนธิได้ มักใช้ร่วมกับยาฆ่าอสุจิที่ทาให้ทั่วไดอะเฟรมก่อนสอดเข้าไปในช่องคลอด และควรทิ้งไว้ 6 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ไม่ควรถอดในทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์เสร็จ เพื่อให้ยาฆ่าอสุจิออกฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพ