ผู้ที่ต้องการเลือกวิธีการคุมกำเนิดแบบฉีดอาจมีคำถามว่า ฉีดยา คุมแบบ 1 เดือน ปล่อยในได้ไหม และจะก่อให้เกิดการตั้งครรภ์หรือมีข้อควรระวังอะไรบ้าง ซึ่งโดยทั่วไปหากฉีดยาคุมกำเนิดเกิน 7 วัน สามารถมีเพศสัมพันธ์และปล่อยในได้โดยไม่ทำให้ตั้งครรภ์ แต่การปล่อยในก็ยังอาจมีความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเสี่ยงตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจได้ โดยเฉพาะหากเข้ารับการฉีดยาคุมรอบใหม่ไม่ตรงเวลา ดังนั้น ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งหากไม่ต้องการตั้งครรภ์ และเพื่อป้องกันการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
[embed-health-tool-vaccination-tool]
ฉีดยาคุมกำเนิดอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
ยาคุมกำเนิดแบบฉีดมีด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่
- ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว (Progestin-only Injectable Contraceptives) ส่วนใหญ่ฉีดบริเวณชั้นกล้ามเนื้อ ทุก ๆ 12 สัปดาห์
- ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Injectable Contraceptives) ที่ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินและฮอร์โมนเอสโตรเจน ระยะเวลาในการฉีดประมาณทุก ๆ 1 เดือน จนกว่าจะเลิกคุมกำเนิด
การฉีดยาคุมกำเนิดอย่างถูกต้องและตรงเวลาตามที่คุณหมอกำหนด อาจมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้ถึง 99% โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดที่ดีมากขึ้น อาจมีดังนี้
- หากยังไม่ได้ตั้งครรภ์ สามารถเริ่มฉีดยาคุมกำเนิดเมื่อไหร่ก็ได้
- การคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องด้วยยาคุมกำเนิดแบบฉีด ควรเข้ารับการฉีดยาคุมกำเนิดภายใน 1 สัปดาห์หลังครบกำหนด เพื่อประสิทธิภาพการคุมกำเนิดที่ต่อเนื่อง
- การฉีดยาคุมกำเนิดหลังคลอด สามารถทำได้ทันทีโดยคุณหมออาจแนะนำให้ฉีดหลังคลอดประมาณ 6 สัปดาห์ แต่หากฉีดยาคุมกำเนิดหลังคลอดเกิน 21 วัน อาจต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดรูปแบบอื่นร่วมด้วยประมาณ 7 วัน
- ผู้ที่ยุติการตั้งครรภ์หรือมีภาวะแท้งบุตร ควรฉีดยาคุมกำเนิดภายใน 5 วัน หากฉีดยาหลังจากนั้น ควรคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วยประมาณ 7 วัน
ฉีดยา คุมแบบ 1 เดือน ปล่อยในได้ไหม
การฉีดยาคุมกำเนิดยิ่งฉีดเร็วและฉีดตรงเวลามากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้มากเท่านั้น โดยยาคุมกำเนิดแบบฉีดหากเริ่มฉีดครั้งแรกตัวยาจะออกฤทธิ์คุ้มกำเนิดได้อย่างเต็มที่ อาจใช้เวลาประมาณ 7 วัน ซึ่งในระหว่างนี้หากมีเพศสัมพันธ์ควรใช้วิธีการคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยร่วมด้วย
แต่หากฉีดยาคุมกำเนิดเกิน 7 วัน ก็สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วยได้ เพราะตัวยาจะสามารถคุมกำเนิดได้ตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าจะครบกำหนดฉีดรอบใหม่ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้งหรือจะปล่อยน้ำอสุจิข้างในช่องคลอดก็ไม่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้น แต่สิ่งสำคัญก็คือจะต้องแน่ใจว่าได้รับการฉีดยาคุมตรงเวลาเสมอ
อย่างไรก็ตาม การปล่อยในยังคงมีข้อควรระวังที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายอย่าง ดังนี้
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้ที่ฉีดยาคุมกำเนิดบางคนอาจเกิดความชะล่าใจไปมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคนโดยไม่สวมถุงยางอนามัย ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น
- การตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ แน่นอนว่ายาคุมกำเนิดแบบฉีดมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้สูง แต่บางครั้งอาจเกิดความหลงลืมช่วงเวลาในการฉีดยารอบใหม่ หรือเข้ารับการฉีดยาช้ากว่ากำหนดก็สามารถทำให้ยาคุมมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลง
ข้อดีของการฉีดยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิดมีประโยชน์อย่างมากในการป้องกันการตั้งครรภ์ รวมทั้งข้อดีอื่น ๆ ดังนี้
- มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง โดยเฉพาะหากเข้ารับการฉีดยาคุมกำเนิดตรงเวลาอยู่เสมอ
- มีความสะดวกกกว่าการกินยาคุมกำเนิดแบบเม็ด ที่จะต้องกินยาทุกวันในเวลาเดียวกัน
- อาจช่วยเพิ่มความสุขในการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักมากขึ้น
- บางคนอาจมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนคุมกำเนิดรูปแบบอื่น
- อาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้
ข้อควรระวังของการฉีดยาคุมกำเนิด
การคุมกำเนิดแบบฉีดอาจมีข้อควรระวัง ดังนี้
- บางคนอาจมีผลข้างเคียงจากยา เช่น ประจำเดือนขาด ประจำเดือนมาผิดปกติ ประจำเดือนมามากหรือน้อยเกินไป เจ็บคัดตึงเต้านม ตกขาวมากกว่าปกติ ตัวบวม อาจเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
- อาจเกิดการหลงลืมได้ เพราะระยะเวลาในการฉีดยาคุมรอบใหม่ใช้เวลานาน
- อาจเสียเวลาในการเดินทางเพื่อเข้ารับการฉีดยาคุม
- บางคนที่ต้องการเลิกคุมกำเนิด อาจต้องใช้ระยะเวลานานถึง 1 ปี กว่าจะสามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้อีกครั้ง ทั้งนี้ อาจขึ้นอยู่กับชนิดของยาคุมด้วย