ยาคุมฮอร์โมนต่ำ คือ ยาคุมกำเนิดชนิดหนึ่งที่มีปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยกว่ายาคุมกำเนิดปกติ โดยปกติแล้ว ยาคุมกำเนิดมักจะมีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตรเจนประมาณ 30-50 ไมโครกรัม แต่ยาคุมฮอร์โมนต่ำอาจมีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตรเจนประมาณ 20 ไมโครกรัม หรือน้อยกว่านั้น ทั้งนี้ ยาคุมฮอร์โมนต่ำอาจมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่ต่างจากยาคุมกำเนิดแบบปกติหากใช้อย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาคุณหมอหรือเภสัชกรก่อนตัดสินใจรับประทาน
[embed-health-tool-ovulation]
ยาคุมกำเนิดมีกี่ประเภท
ยาคุมกำเนิดอาจแบ่งแยกประเภทได้ ดังนี้
- ยาคุมกำเนิดฮอร์โมนเดี่ยว เป็นยาคุมที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หนึ่งแผงจะมียาทั้งหมด 28 เม็ด หากรับประทานถูกวิธี เช่น เจ็บหน้าอก ผิวเป็นจุดคล้ายกระ ซึ่งส่วนใหญ่อาการจะหายได้เองภายใน 2-3 เดือน
- ยาคุมกำเนิดฮอร์โมนรวม เป็นยาคุมที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสติน ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนตามธรรมชาติ มีทั้งชนิดแผงละ 21 เม็ด และแผงละ 28 เม็ด ถือเป็นยาคุมกำเนิดที่นิยมใช้กันมากที่สุด หากรับประทานถูกวิธี การรับประทานยาคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อารมณ์แปรปรวน เจ็บเต้านม ปวดศีรษะ หน้าเป็นฝ้า เลือดออกกะปริบกะปรอย ซึ่งอาการมักดีขึ้นหลังจากเริ่มใช้ยาประมาณ 2-3 เดือน
- ยาคุมฉุกเฉิน เป็นตัวยาที่มีส่วนประกอบฮอร์โมนโปรเจสโตรเจนขนาดสูง คือ ลีโวนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) ยาที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน คือ Mifepristone (RU 486) และยาฮอร์โมนกลุ่มอื่นๆ ที่นำมาใช้เพื่อคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน ควรรับประทานเฉพาะในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น ถุงยางอนามัยขาด มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน โดยรับประทานภายใน 72-120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ขึ้นอยู่กับชนิดของยา แต่หากรับประทานทันทีหลังมีเพศสัมพัน์หรือเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็อาจทำให้ยายิ่งมีประสิทธิภาพ หากรับประทานยาไปไม่ถึง 2-3 ชั่วโมงแล้วอาเจียน ควรปรึกษาคุณหมอหรือเภสัชกรทันที เพราะอาจต้องรับประทานยาใหม่อีกครั้งหรือใช้วิธีคุมกำเนิดฉุกเฉินวิธีอื่น เช่น การใช้ห่วงอนามัยหรือห่วงคุมกำเนิด (Intrauterine Device หรือ IUD)
ยาคุมฮอร์โมนต่ำ คืออะไร
ยาคุมฮอร์โมนต่ำ คือ ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยกว่ายาคุมกำเนิดแบบปกติ โดยในตัวยาอาจมีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียง 20 ไมโครกรัม หรือน้อยกว่า เมื่อเทียบเท่ากับยาคุมกำเนิดที่ปกติอาจมีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนประมาณ 30-50 ไมโครกรัม อีกทั้งยาคุมฮอร์โมนต่ำอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงที่มักพบเมื่อใช้ยาคุมกำเนิดปกติ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ เจ็บเต้านม หรือในกรณีร้ายแรงแต่พบได้ยาก อาจทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
วิธีการใช้ยาคุมฮอร์โมนต่ำ
ผู้ที่ใช้ยาคุมฮอร์โมนต่ำควรรับประทานยาคุมทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 21 วัน โดยปกติจะเริ่มรับประทานยาคุมกำเนิดเม็ดแรกในช่วงวันที่ 1-5 ของรอบเดือน จากนั้นรับประทานยาวันละ 1 เม็ดในเวลาเดียวกันของทุกวัน โดยควรรับประทานก่อนนอน โดยรับประทานยาตามลูกศรไปจนครบ 21 เม็ด แล้วหยุดยาเป็นเวลา 7 วัน ในช่วง 7 วันที่หยุดยา จะมีประจำเดือนมา แม้ประจำเดือนยังคงมาอยู่หรือหมดไปแล้วก็ตาม เมื่อครบ 7 วันแล้ว ในวันที่ 8 ให้เริ่มทานยาเม็ดแรกของแผงใหม่ได้เลย
ข้อดีของยาคุมฮอร์โมนต่ำ
ยาคุมฮอร์โมนต่ำอาจมีข้อดี ดังนี้
- ป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
- ผลข้างเคียงน้อยกว่ายาคุมกำเนิดขนาดปกติ
- ลดอาการก่อนมีประจำเดือน และอาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือนด้วย
- ประจำเดือนอาจมาสม่ำเสมอมากขึ้น
- ลดความเสี่ยงในการเกิดสิว
- ลดความแปรปรวนของระดับฮอร์โมนเพศ
- ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคมะเร็งรังไข่ ซีสต์รังไข่
ข้อควรระวังในการรับประทานยาคุมกำเนิด
การรับประทานยาคุมกำเนิด อาจมีผลข้างเคียง ดังต่อไปนี้
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
- น้ำหนักเพิ่มขึ้น
- คัดตึงเต้านม
- ความดันโลหิตสูง
- ท้องอืด
- ประจำเดือนไม่มา
- เลือดออกช่องคลอดผิดปกติ
- อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล
- สำหรับคุณแม่ให้นมลูกอาจส่งผลให้การผลิตน้ำนมลดน้อยลง
- อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง