หน้า 7 หลัง 7 คือ วิธีการนับระยะปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นวิธีการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ โดยสังเกตจากรอบประจำเดือนของผู้หญิง อาจมีความแม่นยำสำหรับผู้หญิงที่มีรอบประจำเดือนปกติ มาตรงเวลาสม่ำเสมอทุกเดือน ซึ่งหน้า 7 หลัง 7 เป็นระยะที่ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ โดยอาจไม่ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกัน หรืออุปกรณ์คุมกำเนิด ทั้งนี้ การนับหน้า 7 หลัง 7 ไม่สามารถช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ อีกทั้งประสิทธิในการคุมกำเนิดอาจลดลงในรายที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือในรายที่มีรอบเดือนสั้นหรือยาวเกินไป
[embed-health-tool-ovulation]
หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร
หน้า 7 หลัง 7 คือ วิธีการนับระยะปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบธรรมชาติ ช่วยให้รู้ว่าช่วงใดของเดือนที่ร่างกายมีโอกาสในการตั้งครรภ์น้อยที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดการตกไข่ต่ำกว่าช่วงอื่น แต่ผู้หญิงที่มีรอบเดือนไม่ปกติ มาไม่สม่ำเสมอ ไม่ควรใช้วิธีการนับหน้า 7 หลัง 7 เพราะอาจมีความคาดเคลื่อน รวมถึงอาจทำให้ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้ การนับระยะปลอดภัยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจช่วงรอบประจำเดือนว่าประจำเดือนมาเมื่อไร ช่วงการตกไข่อยู่ช่วงไหน เพื่อวางแผนตั้งครรภ์ และคุมกำเนิด
วิธีการนับหน้า 7 หลัง 7
โดยปกติรอบของประจำเดือนในแต่ละรอบ จะเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 28-32 วัน โดยแต่ละช่วงอาจมีรายละเอียดดังนี้
- วันที่ 1 วันแรกในการมีประจำเดือน
- วันที่ 7 รังไข่มีการเจริญเติบโตของไข่เพื่อเตรียมการตกไข่ เเละรังไข่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมดลูกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูก
- วันที่ 11-21 ช่วงเวลาที่อาจมีการตกไข่ โดยรังไข่จะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้นจนกระตุ้น ฮอร์โมนเเอลเฮชให้หลั่งออกมาจากต่อมใต้สมองเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตกไข่ ไข่จะเดินทางไปที่ท่อนำไข่ ถ้ามีอสุจิมาที่ท่อนำไข่ภายใน 12-24 ชั่วโมง จะเกิดการปฏิสินธิ และมีการพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนเพื่อฝังที่โพรงมดลูก ซึ่งได้รับการเปลี่ยนแปลงจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่ผลิตจากรังไข่ เพื่อเตรียมสำหรับการฝังตัวภายหลังจากที่มีการตกไข่เรียบร้อยแล้ว
- วันที่ 28 หากไข่ไม่มีการปฏิสนธิ ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนลดลง และทำให้เยื่อบุมดลูกหลุดลอกออกกลายเป็นเลือดประจำเดือน
ตัวอย่าง การนับแบบหน้า 7 หลัง 7 หากมั่นใจว่าประจำเดือนในเดือนหน้าจะมาวันที่ 16 เป็นวันแรก แสดงว่า 7 วันก่อนที่จะมีประจำเดือน คือ วันที่ 9-15 จะเป็นวันที่ปลอดภัย ส่วนวิธีการนับหลัง 7 คือ วันที่ 16-22 โดยนับตั้งแต่วันที่ประจำเดือนมาวันแรก คือ นับจากวันที่ 16 ไปอีก 7 วัน โดยระยะปลอดภัยของการมีเพศสัมพันธ์ คือ วันที่ 9-22
อย่างไรก็ตามไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีประจำเดือน เนื่องจากเป็นช่วงที่ปากมดลูกมีการเปิดออกเล็กน้อย อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อในโพรงมดลูกและอุ้งเชิงกรานได้มากกว่าปกติ
ข้อดีของการนับหน้า 7 หลัง 7
ข้อดีของการคุมกำเนิดแบบหน้า 7 หลัง 7 อาจมีดังนี้
- ไม่มีค่าใช้จ่าย อาจใช้แค่ปฎิทินในการจด หรือบันทึกข้อมูลของประจำเดือน
- ไม่มีผลข้างเคียง เพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม หรือรับประทานยา
- ไม่ต้องใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่อาจมีผลต่อร่างกาย
- หากต้องการที่จะตั้งครรภ์ สามารถเลิกวิธีการนับหน้า 7 หลัง 7 ได้ทันที
ข้อเสียของการนับหน้า 7 หลัง 7
ข้อเสียของการคุมกำเนิดแบบหน้า 7 หลัง 7 อาจมีดังนี้
- ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- อาจเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ หากมีรอบประจำเดือนไม่ปกติ หรือมาไม่สม่ำเสมอ
- จำเป็นจะต้องมีความแม่นยำทั้งชายและหญิง อาจต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการนับหน้า 7 หลัง 7 ให้ถูกต้อง เพราะหากนับผิดอาจเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้
วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
การคุมกำเนิดเป็นวิธีการป้องกันเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ โดยอาจมีวิธีอื่น ๆ เช่น
- การใช้ถุงยางอนามัย นอกจากอาจช่วยเรื่องคุมกำเนิดแล้ว ยังอาจช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การรับประทานยาคุมกำเนิด มีทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่
- ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน
- ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดแบบฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
- ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดแบบฉุกเฉิน
- การฉีดยาคุมกำเนิด เป็นการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว โดยจะฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อของผู้หญิงในระยะเวลาที่คุณหมอกำหนด
- การใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด (Intrauterine Device หรือ IUD) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ห่วงอนามัยชนิดเคลือบสารทองแดง และห่วงอนามัยชนิดเคลือบฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน มีลักษณะเป็นรูปตัว T สามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-10 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละชนิดของห่วงคุมกำเนิด
ผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือแต่ละเดือนมาไม่ตรงทุกครั้ง ควรใช้การคุมกำเนิดแบบอื่น หรือสอบถามคุณหมอผู้เชี่ยวชาญในการประกอบการตัดสินใจ