แผ่นแปะยาคุม เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของการคุมกำเนิด โดยการแปะแผ่นฟิล์มพลาสติกที่มีฮอร์โมนในกลุ่มเอสโตรเจน และ ฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสติน เพื่อให้ฮอร์โมนซึมจากผิวหนัง เข้าสู่กระแสเลือด โดยออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยการยับยั้งการตกไข่(ovulation) แผ่นแปะยาคุมสามารถใช้แปะบนผิวหนังได้ทุกส่วนของร่างกาย ส่วนใหญ่มักแปะบริเวณต้นแขน หน้าท้อง ยกเว้นบริเวณเต้านม เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกรับประทานยาคุมกำเนิดแบบเม็ด แต่อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแผ่นใหม่บ่อยครั้งตามช่วงเวลาที่คุณหมอกำหนด เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาพ
[embed-health-tool-ovulation]
แผ่นแปะยาคุม คืออะไร
แผ่นแปะยาคุม คือ ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะผิวหนัง ที่ทำจากฟิล์มพลาสติก และผ้าใยสังเคราะห์ที่มีความยืดหยุ่น มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลม สีน้ำตาลอ่อน ประกอบไปด้วยฮอร์โมนรวมกลุ่มเอสโตรเจน (Estrogens) เช่น เอทินิลเอสตราไดออล (Ethinyl estradiol) และฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสติน (Progestins) เช่น เลโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) นอร์เอลเจสโทรมิน (Norelgestromin) ซึ่งจะทำการปล่อยฮอร์โมนเหล่านี้ผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือด และไปออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ทำให้ไม่เกิดการตั้งครรภ์
วิธีการใช้แผ่นแปะยาคุม คือ ใช้สัปดาห์ละ 1 แผ่น ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 สัปดาห์ แล้วเว้น 1 สัปดาห์เพื่อให้ประจำเดือนมา การแปะแผ่นยาคุมใน 1 รอบ อาจคุมกำเนิด 4 สัปดาห์หรือ 28 วัน สำหรับประเทศไทยมีแผ่นแปะคุมกำเนิดที่นิยมใช้ 2 ชนิด ได้แก่
- แผ่นแปะคุมกำเนิดที่มีเอทินิลเอสตราไดออลผสมกับนอร์เอลเจสโทรมิน มีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนาด 20 ตารางเซนติเมตร มีเอทินิลเอสตราไดออล 600 ไมโครกรัม และนอร์เอลเจสโทรมิน 6 มิลลิกรัม ซึ่งอาจปล่อยเอทินิลเอสตราไดออลโดยเฉลี่ย 33.9 ไมโครกรัม/วัน และนอร์เอลเจสโทรมินโดยเฉลี่ย 203 ไมโครกรัม/วัน
- แผ่นแปะคุมกำเนิดชนิดที่มีเอทินิลเอสตราไดออลผสมกับเลโวนอร์เจสเตรล มีลักษณะเป็นแผ่นกลมขนาด 28 ตารางเซนติเมตร บริเวณตรงกลางมีขนาด 15 ตารางเซนติเมตร โดยมีเอทินิลเอสตราไดออล 2.3 มิลลิกรัม และเลโวนอร์เจสเตรล 2.6 มิลลิกรัม ซึ่งอาจปล่อยเอทินิลเอสตราไดออล 30 ไมโครกรัม/วัน และเลโวนอร์เจสเตรล 120 ไมโครกรัม/วัน
ประโยชน์ของแผ่นแปะยาคุม
ประโยชน์ของแผ่นแปะยาคุม มีดังนี้
- ใช้งานง่าย สะดวก เหมาะสำหรับผู้ที่ลืมรับประทานยาคุมแบบเม็ดหรือมีปัญหาในการกลืนยา
- สามารถถอดออกได้ตลอดเวลา
- ลดอาการปวดท้องประจำเดือนและอาจทำให้ประจำเดือนมาปกติ
- อาจช่วยลดโอกาสการเกิดถุงน้ำรังไข่และโรคมะเร็งบางชน
- ฮอร์โมนจากแผ่นแปะยาคุมจะไม่ถูกดูดซึมโดยกระเพาะอาหาร จึงสามารถใช้ได้หากมีอาการป่วย อาเจียน หรือท้องเสีย
- เมื่อหยุดใช้สามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้เลย
แผ่นแปะยาคุม ไม่เหมาะกับใคร
การใช้แผ่นแปะยาคุม อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะสุขภาพ ดังนี้
- อายุ 35 ปีขึ้นไป และสูบบุหรี่
- ผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 90 กิโลกรัม
- มีประวัติเป็นลิ่มเลือด หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และความดันโลหิตสูงขั้นรุนแรง
- เป็นโรคตับ ไมเกรน หรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
- มีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เป็นดีซ่าน
- กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดใหญ่
- เป็นมะเร็งตับหรือโรคเนื้องอกในตับ
นอกจากนี้ อาจจำเป็นต้องแจ้งให้คุณหมอทราบในกรณีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีคอเลสเตอรอลสูง ภาวะซึมเศร้า โรคกลาก สะเก็ดเงิน อยู่ในช่วงให้นมบุตร และกำลังรับประทานยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรอื่น ๆ เช่น ยารักษาลมชัก เนื่องจากคุณหมออาจแนะนำวิธีการคุมกำเนิดรูปแบบอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับสุขภาพ
วิธีใช้แผ่นแปะยาคุม
วิธีใช้แผ่นแปะยาคุม มีดังนี้
- เข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อให้คุณหมอประเมินว่าสามารถคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ได้หรือไม่
- ควรแปะแผ่นยาคุมภายในวันแรกที่ประจำเดือนมา หากไม่ได้เริ่มแปะแผ่นยาในวันแรกที่มีประจำเดือน จำเป็นต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วัน เช่น ใช้ถุงยางอนามัย หรือให้งดการมีเพศสัมพันธ์ หลังแปะแผ่นยาคุมหรืออาจแปะแผ่นคุมกำเนิดในช่วงที่ไม่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์
- ก่อนแปะแผ่นคุมกำเนิด ควรทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่ต้องการและเช็ดให้แห้ง โดยควรเลือกบริเวณที่ไม่มีขน และไม่โดนเสื้อผ้ารัดจนแน่น ส่วนใหญ่มักแปะที่ต้นแขนด้านนอก หน้าท้อง ก้น แผ่นหลัง หลีกเลี่ยงการแปะแผ่นยาคุมในบริเวณที่มีแผลเปิด หน้าอก และเต้านม
- ดึงแผ่นพลาสติกใสที่ปิดบนแผ่นยาออกเพียงซีกเดียว และแปะลงบนผิวหนัง ก่อนจะดึงแผ่นพลาสติกใสอีกซีกหนึ่งออก ระวังอย่าให้มือสัมผัสกับแผ่นยาด้านที่จะติดลงบนผิวหนัง
- ลูบแผ่นยาให้เนียนแนบสนิทกับผิวหนัง
คำแนะนำในการใช้แผ่นแปะยาคุม
คำแนะนำการใช้แผ่นแปะยาคุม มีดังนี้
- หากแผ่นแปะคุมกำเนิด หลุดหรือลอกออกไม่เกิน 24 ชั่วโมง ให้ลองแปะแผ่นเก่าลงก่อน ถ้าไม่ได้ให้ติดแผ่นใหม่ โดยไม่ต้องเปลี่ยนวันที่เปลี่ยนแผ่นใหม่ของรอบถัดไป
- หากแผ่นแปะคุมกำเนิด หลุดหรือลอกออกนานเกิน 24 ชั่วโมง ให้แปะแผ่นใหม่ และเปลี่ยนวันเปลี่ยนแผ่นใหม่ ร่วมกับใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เป็นเวลา 7 วัน เช่น การสวมถุงยางอนามัย งดมีเพศสัมพันธ์
- หากเลยกำหนดในการเปลี่ยนแผ่นแปะคุมกำเนิด หากไม่เกิน 2 วัน ให้เปลี่ยนแผ่นใหม่ได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนกำหนดวันเปลี่ยนแผ่นใหม่
- หากเลยกำหนดในการเปลี่ยนแผ่นแปะคุมกำเนิดเกิน 2 วัน ให้เปลี่ยนแผ่นใหม่ เปลี่ยนกำหนดวันเปลี่ยนแผ่นใหม่ และใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเป็นเวลา 7 วัน
- สำหรับผู้ที่ลืมเปลี่ยนแผ่นแปะยาคุมแผ่นที่ 1 ควรถอดออกทันทีที่นึกได้ และยึดวันนั้นเป็นวันแปะยาคุมกำเนิดรอบใหม่ และเปลี่ยนแผ่นแปะคุมกำเนิดรอบถัดไปตามช่วงเวลาปกติ อีกทั้งควรงดการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 7 วันหรือสวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์
- สำหรับผู้ที่ลืมเปลี่ยนแผ่นแปะยาคุมแผ่นที่ 3 ให้รีบแกะแผ่นยาออกทันทีที่นึกได้ และเว้น 1 สัปดาห์ เพื่อให้ประจำเดือนมา และยังคงยึดวันเปลี่ยนแผ่นแปะรอบใหม่วันเดิม
- แผ่นแปะคุมกำเนิดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ระคายเคืองผิว คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บเต้านม เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ปวดท้อง อารมณ์แปรปรวน น้ำหนักเพิ่ม สิวขึ้น นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หากอาการเหล่านี้มีความรุนแรงขึ้นควรพบคุณหมอทันที
- สำหรับผู้ที่แท้งบุตร ควรเริ่มใช้แผ่นแปะคุมกำเนิดทันทีหรือไม่เกิน 5 วัน หลังจากแท้งบุตร หากเกินจากนี้อาจจำเป็นต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น สวมถุงยางอนามัย งดการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากภายในระยะเวลา 10 วันหลังแท้ง อาจมีการตกไข่ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันในช่วงนี้อาจเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้
- สำหรับสตรีหลังคลอดบุตรและอยู่ในช่วงให้นมบุตร ไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนรวม และยาคุมกำเนิดแบบแปะ เพราะอาจรบกวนการผลิตน้ำนมให้ลูก โดยจะเริ่มใช้ได้ต่อเมื่อลูกหย่านมแล้ว
- สำหรับสตรีหลังคลอดบุตรและไม่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ไม่ควรเริ่มใช้แผ่นแปะคุมกำเนิดหลังคลอดเร็วเกินไป หากเริ่มแปะแผ่นคุมกำเนิดเร็วเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดหลอดเลือด โดยควรเริ่มหลัง 6 สัปดาห์หลังคลอดเป็นต้นไป