อาการก่อนเป็นประจำเดือน (Premenstrual syndrome หรือ PMS) เป็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนเป็นประจำเดือน มักส่งผลกระทบทั้งด้านร่างกาย จิตใจและอารมณ์ ผู้หญิงแต่ละคนอาจมีอาการก่อนเป็นประจำเดือนที่อาจแตกต่างกันทั้งรูปแบบและความรุนแรงของอาการ เช่น ปวดหลัง ปวดท้อง เจ็บบริเวณหน้าอก ฉุนเฉียวง่าย อารมณ์อ่อนไหว ซึมเศร้า ทั้งนี้ ควรศึกษาอาการที่เกิดขึ้นเพื่อเตรียมรับมืออย่างถูกวิธี โดยทั่วไปแล้ว ภาวะนี้สามารถรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม เช่น การออกกำลังกาย การงดสูบบุหรี่ อย่างไรก็ตาม หากปรับพฤติกรรมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
[embed-health-tool-ovulation]
อาการก่อนเป็นประจำเดือน คืออะไร
อาการก่อนเป็นประจำเดือน (Premenstrual syndrome หรือ PMS) คือ กลุ่มอาการผิดปกติด้านร่างกายและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไข่ตก ก่อนที่ประจำเดือนจะเริ่มต้นประมาณ 1 สัปดาห์ โดยปกติแล้วอาการก่อนเป็นประจำเดือนจะหายไปภายใน 1-2 วันหลังมีประจำเดือน แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าอาจเกิดจากปัจจัยภายใน เช่น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงที่เป็นประจำเดือน คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคซึมเศร้า หรือปัจจัยภายนอก เช่น การไม่ออกกำลังกาย ความเครียดสะสม การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่
สัญญาณของ อาการก่อนเป็นประจำเดือน
สัญญาณที่อาจแสดงถึงอาการก่อนเป็นประจำเดือน มีดังนี้
สัญญาณด้านร่างกาย
- ปวดศีรษะ
- สิวขึ้น
- เจ็บบริเวณเต้านม
- ปวดข้อ
- ปวดกล้ามเนื้อ
- หิวบ่อย
- ท้องอืด
- ท้องผูกหรือท้องเสีย
- ปวดหลัง
- น้ำหนักเพิ่มขึ้น
- เหนื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย
- มีภาวะไม่ทนต่อแอลกอฮอล์ (Alcohol intolerance)
สัญญาณด้านอารมณ์และพฤติกรรม
- รู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล
- รู้สึกซึมเศร้า ร้องไห้บ่อยครั้ง
- มีปัญหาเรื่องการนอน เช่น นอนไม่หลับ
- อารมณ์แปรปรวน ฉุนเฉียวง่าย
- ปลีกตัวออกจากคนอื่น
- หลงลืมง่าย
- จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ๆ ไม่ได้
วิธีรับมืออาการก่อนเป็นประจำเดือน
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่อาจช่วยบรรเทาอาการก่อนเป็นประจำเดือน เช่น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เลือกออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที/วัน หรือ 150 นาที/สัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นปานกลาง เช่น การปั่นจักรยาน การเดินเร็ว ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก หรือเลือกออกกำลังกายอย่างน้อย 75 นาที/สัปดาห์ สำหรับการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง เช่น ดึงข้อ (Pull-ups) กระโดดตบ กระโดดเชือก
- อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ทำให้เครียดง่าย
- นอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีน ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว ส่งผลทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะในบุหรี่มีสารนิโคติน (Nicotine) ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง และอาจทำให้หงุดหงิดง่ายเมื่อไม่ได้สูบบุหรี่
การรักษาทางการแพทย์ที่อาจช่วยบรรเทา อาการก่อนเป็นประจำเดือน ได้ เช่น
- การบำบัดด้วยการพูดคุย (Talk therapy) กับนักจิตวิทยาการปรึกษา ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีการรับมือกับความรู้สึกซึมเศร้าและวิตกกังวลในช่วงที่เกิดอาการก่อนประจำเดือนและช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น
- การใช้ยาดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตามคำแนะนำของคุณหมอและเอกสารประกอบยาอย่างเคร่งครัด
- ยาแก้ปวด (Painkiller) เช่น ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) ยานาพรอกเซน (Naproxen) เพื่อบรรเทาปวด มีวางขายตามร้านขายยาทั่วไป
- ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) เพื่อลดอาการบวมน้ำที่เกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนแปรปรวน
- ยาระงับภาวะวิตกกังวล (Anti-anxiety medicine) เพื่อคลายความกังวล และทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
- ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) เพื่อปรับความสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง (Neurotransmitters) ช่วยให้อารมณ์เป็นปกติ
เมื่อไหร่ควรปรึกษาคุณหมอ
หากลองปรับพฤติกรรมหรือกินยาตามอาการแล้ว แต่อาการก่อนเป็นประจำเดือนยังแย่ลงเรื่อย ๆ และเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต เช่น ปวดท้องจนไม่สามารถไปทำงานได้ รู้สึกซึมเศร้าจนไม่สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งอาจช่วยป้องกันไม่ให้อาการนี้พัฒนาไปเป็นกลุ่มอาการอารมณ์ผิดปกติก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Dysphoric Disorder หรือ PMDD) ที่มีความรุนแรงมากกว่าทั้งในด้านอารมณ์และพฤติกรรม เช่น มีอาการแพนิคอย่างรุนแรง มีความรู้สึกซึมเศร้าอย่างหนัก มีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น หรือร้ายแรงถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย หากอาการพัฒนาไปเป็นกลุ่มอาการอารมณ์ผิดปกติก่อนมีประจำเดือนแล้ว จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้กระทบต่อการใช้ชีวิตและส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง