ฝ้า กระ เป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีผิวใต้ชั้นผิวหนัง จนทำให้เกิดฝ้าเป็นปื้นสีดำหรือสีน้ำตาลขนาดใหญ่ และกระที่เป็นจุดกลมเล็ก ๆ สีน้ำตาลกระจายบนผิวหนัง ซึ่งอาจรักษาเพื่อบรรเทาอาการได้ด้วยการใช้ ครีมลดฝ้า กระ ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี ช่วยผลัดเซลล์ผิว และชะลอการสร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนัง เพื่อให้ผิวดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น
[embed-health-tool-bmi]
ฝ้า และ กระ แตกต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างระหว่างฝ้าและกระ อาจมีดังนี้
ฝ้า
เป็นความผิดปกติของเม็ดสีผิวใต้ชั้นผิวหนังจนทำให้เกิดจุดด่างดำเป็นปื้นขนาดใหญ่สีดำหรือสีน้ำตาล ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการสัมผัสรังสียูวีในแสงแดดมากเกินไป นอกจากนี้ ยังอาจมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การกินยาบางชนิด และการแพ้เครื่องสำอาง
กระ
เป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นเมื่อมีการรวมตัวของเม็ดสีผิวใต้ผิวหนังมากเกินไป จนเกิดเป็นจุดสีน้ำตาลกระจายบนผิวหนัง พบได้บ่อยในช่วงวัยเด็กและผู้ที่มีผิวขาว โดยกระอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ กระตามกรรมพันธุ์ (Ephelides) จะเกิดขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย และกระแดด (Solar Lentigines) ซึ่งที่พัฒนาเมื่ออายุมากขึ้นประมาณ 50 ปีขึ้นไป หรือเรียกว่า จุดด่างอายุ (Age Spots)
ดังนั้น ความแตกต่างของฝ้าและกระ อาจแยกได้จากสาเหตุของการเกิดฝ้าและกระ รวมถึงลักษณะของฝ้าและกระ โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า คือ เม็ดสีผิวผิดปกติ สว่นใหญ่เกิดจากการสัมผัสกับรังสียูวีในแสงแดดมากเกินไป และมีลักษณะเป็นปื้นสีดำหรือสีน้ำตาลขนาดใหญ่ ในขณะที่สาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดกระ คือ การสืบทอดทางพันธุกรรม และกระจะมีลักษณะเป็นจุดกลมเล็ก ๆ สีน้ำตาลกระจายบนผิวหนัง
ครีมลดฝ้า กระ ควรมีส่วนผสมอะไรบ้าง
การเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวี ช่วยให้ผิวแข็งแรง ช่วยผลัดเซลล์ผิว และช่วยชะลอการสร้างเม็ดสี อาจช่วยในการรักษาฝ้า กระได้ ดังนี้
- เรตินอยด์ (Retinoid) มีคุณสมบัติยับยั้งการสร้างเม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง ช่วยรักษาจุดด่างดำต่าง ๆ เช่น ฝ้า กระ รอยสิว มักใช้ร่วมกับไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ที่ช่วยชะลอการสร้างเม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง แต่เรตินอยด์อาจมีผลข้างเคียง เช่น แสบร้อน ผื่นแดง ผิวแห้งลอก
- ไฮโดรควิโนน มีคุณสมบัติช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีผิวใต้ชั้นผิวหนัง ช่วยลดจุดด่างดำและผิวหมองคล้ำ มักใช้ร่วมกับสารชนิดอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น เรตินอยด์ สเตียรอยด์ กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) โดยไฮโดรควิโนนอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ระคายเคืองผิว ผื่นแดง แสบร้อนผิว ผิวหนังอักเสบ
- กรดเบต้าไฮดรอกซี (Beta Hydroxy Acid หรือ BHA) และกรดอัลฟ่า-ไฮดรอกซี (Alpha-Hydroxy Acids) มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ผิวหนัง ช่วยลดความหมองคล้ำและจุดด่างดำ ส่งผลให้ผิวดูกระจ่างใสและสม่ำเสมอมากขึ้น แต่อาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น ระคายเคืองผิว ผิวแดง ผิวบาง
- ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) และวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวี ชะลอและป้องกันการสร้างเม็ดสีใต้ชั้นผิวหนังที่มากเกินไป ส่งผลให้ผิวแลดูกระจ่างใสและสม่ำเสมอขึ้น แต่อาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น ระคายเคืองผิว ผิวแดง คัน
- กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี ช่วยล้างสารพิษตกค้างในชั้นผิวหนัง ปกป้องและชะลอการสร้างเม็ดสีผิว ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น แต่อาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น มึนงง ปวดหัว ตาพร่ามัว
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) กรดแลคติก (Lactic Acid) และกรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ ลดปัญหาผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำ ช่วยให้ผิวแลดูสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังช่วยกระชับรูขุมขนและลดเลือนริ้วรอย แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น ระคายเคืองผิว ผิวแดง ผิวบาง
- กรดโคจิก (Kojic Acid) มีคุณสมบัติช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ และช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง จึงอาจช่วยลดเลือนจุดด่างดำและช่วยให้ผิวสม่ำเสมอมากขึ้น ซึ่งมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าส่วนผสมอื่น ๆ หรืออาจไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิว