วิธีดูแลผิวหนัง ให้ผิวแข็งแรงและดูสุขภาพดีอยู่เสมอ อาจทำได้ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า และมอยส์เจอไรเซอร์หรือครีมบำรุงผิวหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิว และที่สำคัญ ต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะในวันที่แดดจัด และควรรับประอาหารที่มีประโยชน์และให้สารอาหารที่ดีต่อผิว รวมถึงดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและความชุ่มชื้นให้แก่ผิว นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสามารถทำให้ผิวเสื่อมสภาพไวขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม หากพบปัญหาผิวและดูแลรักษาด้วยวิธีบำรุงผิวเบื้องต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบคุณหมอผิวหนัง เพื่อรับการรักษาและรับคำแนะนำในการดูแลผิวที่เหมาะสมที่สุด
[embed-health-tool-bmr]
ปัญหาผิวที่พบได้บ่อย
ปัญหาผิวที่พบได้บ่อย อาจมีดังนี้
- ผิวแห้ง แพ้ง่าย เป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นเมื่อผิวไม่สามารถเก็บกักความชุ่มชื้นไว้ได้ ผิวอาจดูแห้งกร้าน ลอกเป็นแผ่น ระคายเคืองง่าย คนที่ผิวแห้งควรใช้ครีมบำรุงผิว เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันอย่างน้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ส่วนคนที่ผิวแพ้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสารเคมี เช่น พาราเบน น้ำหอม และเน้นใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น น้ำผึ้ง สารสกัดจากข้าวโอ๊ต เซราไมด์ (Ceramide)
- ผิวมัน เป็นสิวง่าย เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากต่อมน้ำมันใต้ชั้นผิวผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ส่งผลให้ผิวมัน ความมันบนผิวอาจดักจับสิ่งสกปรกต่าง ๆ เช่น จับฝุ่น มลภาวะ เมื่อน้ำมันส่วนเกินบนผิวผสมกับสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว อาจทำให้รูขุมขนอุดตัน และเป็นสิวได้ง่ายได้ง่าย คนที่ผิวมันควรใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ช่วยควบคุมความมัน เช่น ซาลิไซลิก แอซิด (Salicylic Acid) กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid)
- ผิวหมองคล้ำ เป็นปัญหาผิวที่อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น สภาพอากาศ แสงแดด ความเครียด การทำความสะอาดผิวไม่ถูกวิธี ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ ไม่สม่ำเสมอ คนที่มีผิวหมองคล้ำอาจใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) หรือวิตามินบี 3 ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรงและกระจ่างใสขึ้น
- ผื่นผิวหนังอักเสบ (Atopic Dermatitis) เป็นปัญหาผิวที่อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ผิวสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ผิวแห้ง สภาพอากาศ หรือพันธุกรรม ทำให้ผิวมีอาการบวมแดง ระคายเคือง มีตุ่มคัน ควรดูแลผิวหนังด้วยครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้น ลดการอักเสบและอาการคัน เช่น เซราไมด์ น้ำมันมะกอก หากมีอาการรุนแรงควรไปพบคุณหมอเพื่อรักษาให้หายต่อไป
- โรคมะเร็งผิวหนัง เป็นปัญหาสุขภาพผิวร้ายแรง จึงควรหมั่นสังเกตสภาพผิวของตัวเองอยู่เสมอ หากพบว่าบริเวณที่โดนแดดเป็นประจำมีรอยแผลเรียบสีน้ำตาลอ่อน รอยแผลตกสะเก็ดหลังโดนแดด หรือมีไฝที่มีสีและรูปร่างผิดปกติขึ้นใหม่ อาจไปหาคุณหมอเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นเนื้อร้ายที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังหรือไม่
- โรคเซ็บเดิร์ม หรือภาวะผิวหนังอักเสบจากต่อมไขมันในชั้นผิวหนัง (Seborrheic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง สาเหตุอาจเกิดจากสภาพแวดล้อม ระดับฮอร์โมนที่แปรปรวน หรือพันธุกรรม ทำให้มีผื่นแดง คัน ตามผิวหนัง อาจทำให้หน้าเป็นขุยได้ อาจต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสิ่งที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ และควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธี
วิธีดูแลผิวหนัง ให้แข็งแรง สุขภาพดี
การดูแลผิวหนังด้วยตัวเอง อาจทำได้ดังนี้
ทาครีมกันแดดทุกวัน
การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน อาจช่วยป้องกันชั้นผิวหนังไม่ให้ถูกรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต หรือรังสียูวี (UV) ทำร้าย รังสียูวีประกอบไปด้วยรังสี UVA ที่มีส่วนสร้างความเสียหายให้กับผิว อาจทำให้เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และความหมองคล้ำให้แก่ผิวหนัง และรังสี UVB ที่ทำให้ผิวชั้นนอกไหม้แดด และทำลายดีเอ็นเอใต้ผิวหนัง เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังอีกด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือออกไปข้างนอก ก็ควรปกป้องผิวหนังด้วยการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากแสงแดดอาจสะท้อนกับกระจกหรือลอดหน้าต่างเข้ามาในบริเวณบ้าน รวมถึงแสงไฟในบ้านก็อาจส่งผลเสียต่อผิวได้เช่นกัน
ควรเลือกครีมกันแดดที่มีฉลากระบุว่าสามารถป้องกันคลื่นความถี่กว้างในรังสียูวีเอได้ หรือที่เรียกว่าครีมกันแดดสูตรบรอดสเปกตรัม (Broad Spectrum) ที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป และอาจมีค่า PA ด้วย โดยค่า SPF คือ ประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB ส่วนค่า PA คือ ประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ปริมาณครีมกันแดดที่แนะนำสำหรับทาผิวหน้าอยู่ที่ 1-2 กรัม/ครั้ง หรือประมาณ 2 ข้อนิ้ว สำหรับการทาทั้งตัวอยู่ที่ประมาณ 30 กรัม/ครั้ง เมื่อจะออกไปข้างนอก ควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 3-4 ชั่วโมง หรือบ่อยกว่านั้นหากเหงื่อออกง่าย หรือทำกิจกรรมทางน้ำ เพราะอาจชะล้างครีมกันแดดออกจากผิวไวขึ้น
ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี
โดยเฉพาะผิวหน้า เพื่อช่วยให้ผิวสะอาดอยู่เสมอ และดูสุขภาพดี ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ ตอนเช้าหลังตื่นนอน และก่อนนอน เพื่อชำระล้างน้ำมันส่วนเกิน สิ่งสกปรก หรือเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ซึ่งอาจอุดตันรูขุมขน จนก่อให้เกิดสิว หรือโรคผิวหนังอื่น ๆ ได้
ก่อนล้างหน้า ควรล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสหน้า จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิห้องและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวที่สุด โดยการบีบผลิตภัณฑ์ล้างหน้าปริมาณเล็กน้อยลงบนฝ่ามือ ผสมน้ำเล็กน้อยแล้วถูจนเกิดฟอง จากนั้นนำฟองที่ได้ไปทำความสะอาดผิวหน้าด้วยการนวดเบา ๆ ตามแนวรูขุมขน ซึ่งอาจช่วยให้ล้างหน้าได้สะอาดขึ้น และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
งดสูบบุหรี่
การงดสูบบุหรี่ส่งผลดีต่อสุขภาพผิว เพราะการสูบบุหรี่อาจทำให้ผิวแก่ก่อนวัย เนื่องจากสารประกอบที่เป็นพิษในบุหรี่ เช่น นิโคติน ทาร์ สารอนุมูลอิสระ อาจเข้าไปทำลายเซลล์ในชั้นผิว ลดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ที่ทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นและสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผิว เมื่อเส้นใยผิวเหล่านี้ลดน้อยลง ก็จะทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังมีส่วนทำให้หลอดเลือดตีบตัน ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงผิวได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนผิวได้รับสารอาหารและออกซิเจนน้อยลง ทั้งยังเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮออล์เป็นประจำอาจทำให้ผิวแห้งกร้าน แก่กว่าวัย ดูหมองคล้ำ และเกิดฝ้ากระได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายขับน้ำออกมามากกว่าปกติ ทำให้ผิวสูญเสียน้ำที่หล่อเลี้ยงและขาดความชุ่มชื้น ทำให้เกิดปัญหาผิวหน้าแห้ง ปากลอกแตกตามมา นอกจากนี้ แอลกฮอล์ยังลดประสิทธิภาพการทำงานของตับ ทำให้สารพิษไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้หมด ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้
ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
การดื่มน้ำมีส่วนช่วยเสริมสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายรวมถึงเซลล์ผิวหนัง ช่วยอวัยวะในร่างกายทำงานเป็นปกติ และยังช่วยขับล้างสารพิษภายในร่างกาย ปริมาณน้ำที่เหมาะสมมีดังนี้
- ผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรดื่มน้ำหรือของเหลวอย่างน้อยวันละ 3.7 ลิตร หรือ 13 แก้ว/วัน
- ผู้หญิงอายุ 19 ปีขึ้นไป ควรดื่มน้ำหรือของเหลวอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือ 9 แก้ว/วัน
- หญิงตั้งครรภ์ ควรดื่มน้ำหรือของเหลวประมาณ 10 แก้ว/วัน
- หญิงให้นมบุตร ควรดื่มน้ำหรือของเหลว 12 แก้ว/วัน
- เด็กเล็ก ควรดื่มน้ำหรือของเหลวอย่างน้อยวันละ 6 แก้ว/วัน
- เด็กโตอายุ 14 ปี ขึ้นไป ควรดื่มน้ำหรือของเหลวอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร หรือ 8-11 แก้ว/วัน
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
อาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารที่ดีต่อผิวดังต่อไปนี้ อาจช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้
- วิตามินเอ อาจช่วยปรับสภาพผิวและผลัดเซลล์ผิว ลดสิวและน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า วิตามินเอพบได้ใน น้ำมันปลา แซลมอน แครอท ผักโขม บรอกโคลี เป็นต้น
- สังกะสี อาจช่วยรักษาสมดุลของระดับไขมันบนผิวหนัง สังกะสีพบได้ใน มันฝรั่ง อัลมอนด์ เนื้อไก่ เนื้อหมู คะน้า ธัญพืช เป็นต้น
- วิตามินอีและซี มีสารต้านอนุมูลอิสระ อาจช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด วิตามินซีพบได้ในส้ม มะนาว องุ่น สับปะรด มะเขือเทศ เป็นต้น ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี เช่น น้ำมันมะกอก เมล็ดทานตะวัน ผักใบเขียว
- กรดไขมันโอเมก้า 3 อาจช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว กรดไขมันโอเมก้า 3 พบได้ในปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน หอยนางรม หอยแมลงภู่ เป็นต้น