รอยสิว เป็นร่องรอยที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่สิวหายไปแล้ว แม้ไม่เป็นอันตรายแต่อาจทำให้ขาดความมั่นใจ เพราะรอยสิวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วกำจัดยากไม่ใช่เล่น ทาครีม ทายาก็มักใช้เวลานานกว่าจะจางลง รอยสิวแบบนี้เกิดจากอะไร ควรระมัดระวังและดูแลตัวเองอย่างไร เพื่อป้องกันรอยสิว
[embed-health-tool-ovulation]
รอยสิว แบบหลุมลึก (Ice Pick Scars)
- ลักษณะของรอยสิว รอยสิวแบบนี้จะมีลักษณะเป็นหลุมแคบๆ แต่มีความลึกลงไปถึงผิวชั้นกลาง ซึ่งดูขรุขระคล้ายโดนเจาะด้วยที่เจาะน้ำแข็งหรือเครื่องมืออะไรที่มีความแหลมคม รอยสิวแบบหลุมลึกนี้ดูเหมือนจะทำให้เกิดรูเล็ก ๆ ที่เจาะลึกเข้าไปในผิว ซึ่งบางครั้งก็ดูเหมือนเป็นรูขุมขนที่เปิดออก
- สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยสิว รอยสิวแบบนี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดการติดเชื้อในสิวหัวช้าง หรือสิวอักเสบที่อยู่ลึกลงไปในผิว ซึ่งพยายามจะดันตัวขึ้นมาบนผิว ทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดรอยสิวเป็นเหมือนรูเข็มเล็ก ๆ
รอยสิว แบบหลุมตื้น (Rollling Scars)
- ลักษณะของ รอยสิว รอยสิวแบบนี้ทำให้เกิดรอยบุ๋มตื้น ๆ ที่ดูเหมือนคลื่นหรือเนินเตี้ยๆ อยู่ทั่วผิวหน้า รอยสิวแบบนี้จะมีความแตกต่างจากรอยสิวแบบหลุมกว้าง (Boxa Scars) เนื่องจากมีลักษณะเป็นหลุมที่แคบกว่า ซึ่งทำให้ผิวหน้าดูเป็นตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบ
- สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยสิว รอยสิวแบบหลุมตื้นนี้เกิดขึ้นเมื่อมีเส้นใยของเนื้อเยื่อเกิดขึ้นระหว่างผิวกับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เส้นใยนี้จะดึงผิวชั้นหนังกำพร้าเข้าไปมัดรวมกับโครงสร้างของผิวที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งแรงดึงนี้แหละที่ทำให้เกิดเป็นรอยบุ๋มตื้น ๆ ขึ้นมาบนผิว
รอยสิวแบบรอยนูน (Hypertrophic และ Keloid Scars)
- ลักษณะของรอยสิว รอยสิวแบบนี้เป็นรอยสิวที่ยกสูงขึ้นไปจากผิว เป็นรอยแผลเป็นเนื้อแน่นๆ ที่ก่อตัวขึ้นจากผิวหนังชั้นบนสุด รอยสิวแบบรอยนูนนี้เกิดจากสิวที่พบได้บ่อยตามลำตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ชาย แต่จริง ๆ แล้วรอยสิวแบบนี้จะเกิดได้ทุกที่บนร่างกาย แผลเป็นคีลอยด์นี้ถือเป็นรอยแผลเป็นที่มีระดับความรุนแรงสูงสุด ซึ่งต่างจากแผลเป็นรอยนูนตามปกติตรงที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งแผลเป็นชนิดนี้สามารถขยายตัวได้กว้างกว่าขอบเขตที่เป็นแผลหลายเท่า และถึงแม้แผลจะหายแล้ว แผลเป็นแบบรอยนูนนั้นก็ยังขยายตัวต่อไปได้อีก และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีรอยแผลเป็นแบบนี้
- สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยสิว รอยสิวแบบรอยนูนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพาะสูญเสียเนื้อเยื่อเหมือนสิวแบบหลุมลึกและสิวแบบหลุมตื้น แต่เกิดจากการที่ผิวหนังผลิตคอลลาเจนขึ้นมามากเกินไป ส่วนแผลเป็นแบบคีลอยด์นั้น เป็นอะไรที่ดูเหมือนผิวจะไม่รู้ว่าแผลหายแล้ว เลยทำให้ผลิตคอลลาเจนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
รอยสิวแบบหลุมกว้าง (Boxar Scars)
- ลักษณะของรอยสิว รอยสิวแบบนี้จะมีลักษณะคล้ายๆ รอยสิวแบบหลุมตื้น แต่หลุมสิวจะกว้างกว่ากันมาก ซึ่งดูไปดูมาก็ละม้ายคล้ายแผลเปิดที่เกิดจากโรคอีสุกอีใส ซึ่งมีความลึกพอสมควร
- สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยสิว รอยสิวแบบหลุมกว้างนี้ก็มีสาเหตุคล้ายรอยสิวแบบหลุมตื้นนั่นแหละ คือมีเส้นใยของเนื้อเยื่อเกิดขึ้นระหว่างผิวกับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เส้นใยนี้จะดึงผิวชั้นหนังกำพร้าเข้าไปมัดรวมกับโครงสร้างของผิวที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งแรงดึงนี้แหละที่ทำให้เกิดเป็นรอยบุ๋มตื้นๆ ขึ้นมาบนผิว แต่ที่มีรอยบุ๋มกว้างกว่า ก็น่าจะเป็นเพราะรอยเล็บที่จิกเข้าไปในเนื้อจนทำให้เกิดรอยแผลเป็นขึ้นมา
รอยดำหลังผิวอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)
- ลักษณะของรอยสิว สีผิวที่เปลี่ยนไปหลังสิวหายนั้นไม่ใช่สีของรอยแผลเป็นจริงๆ แต่เป็นสีของรอยดำหลังผิวอักเสบ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของคนที่มีปัญหาสิว รอยดำหลังผิวอักเสบนี้จะเกิดขึ้นบนพื้นที่เรียบ ๆ ไม่ได้ยกนูนหรือเป็นหลุม และมีระดับสีต่าง ๆ กัน คือมีตั้งแต่สีชมพู ม่วง น้ำตาล เรื่อยไปจนถึงดำ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน
- สาเหตุที่ทำให้เกิดรอยสิว รอยดำหลังผิวอักเสบจะเกิดขึ้นเวลาที่แผล ผื่น ตุ่มสิว หรืออาการบาดเจ็บอื่นๆ ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ เมื่อผิวหนังเยียวยาตัวเองจนหายดีแล้ว ก็จะผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากเกินไป (เม็ดสีเมลานินคือสสารที่ทำให้เกิดสีผิวขึ้นมา) ทำให้ผิวหนังในบริเวณนั้นมีสีคล้ำ
บทสรุป
ถึงแม้จะรักษาและระมัดระวังเรื่องสิวเป็นอย่างดีแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะทำให้เกิดรอยแผลจากสิวขึ้นมาได้อยู่ดี ฉะนั้นจึงนับเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เราจะต้องควบคุมปัญหาสิวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะการรักษารอยสิวจะเป็นไปได้ยาก ถ้ายังมีสิวขึ้นมา
อันดับแรกควรไปพบคุณหมอผิวหนัง ถ้ามีปัญหาสิวที่ต้องได้รับการดูแลรักษา แพทย์ผิวหนังจะช่วยหาวิธีการรักษาดี ๆ ที่เหมาะสมซึ่งจะช่วยควบคุมปัญหาสิวให้ได้ ซึ่งเมื่อปัญหาสิวหมดไปแล้ว ก็ถึงเวลาต้องจัดการกับรอยสิว ซึ่งมีวิธีการรักษาหลากหลายรูปแบบเหมือนกัน ก็ต้องให้แพทย์ผิวหนังเป็นผู้วินิจฉัยว่า รอยสิวควรจะรักษาด้วยวิธีไหนดี