ภูมิแพ้ผิวหนัง หรือที่เรียกอีกอย่างว่าโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic dermatitis) เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย อาจเกิดจากผิวแห้ง ติดเชื้อแบคทีเรีย สารระคายเคือง หรือสารก่อภูมิแพ้ ที่ทำให้ผิวหนังอักเสบ รู้สึกคัน ผิวเป็นสะเก็ด หากไม่เข้ารับการรักษาอาจส่งผลให้เกิดอาการคันรุนแรง จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้
[embed-health-tool-bmi]
คำจำกัดความ
ภูมิแพ้ผิวหนัง คืออะไร
ภูมิแพ้ผิวหนัง คือ โรคผิวหนังที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ ทำให้เกิดผื่น อาการคัน รอยแดง ซึ่งมักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า แขน และขา ภูมิแพ้ผิวหนังอาจหายไปได้เองโดยไม่ต้องทำการรักษา แต่ก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีกครั้งหากมีปัจจัยมากระตุ้น เช่น แบคทีเรีย สารระคายเคือง
อาการ
อาการภูมิแพ้ผิวหนัง
อาการภูมิแพ้ผิวหนัง อาจสังเกตได้ดังนี้
- ผิวแห้งเป็นขุย
- อาการคัน ที่อาจรุนแรงขึ้นในช่วงเวลากลางคืน
- ตุ่มนูนเล็ก ๆ ที่มีของเหลวอยู่ด้านใน
- ผื่นเป็นปื้นสีแดงหรือน้ำตาลอมเทา บริเวณใบหน้า ศีรษะ ข้อมือ คอ หน้าอก เท้า ข้อพับ ข้อศอก และหลังเข่า
- ผิวบวมแดงจากการเกา
นอกจากนี้ หากสังเกตว่ามีไข้ หนาวสั่น รู้สึกเหมือนไม่สบาย และมีอาการแย่ลง เช่น มีหนอง เจ็บบริเวณตุ่มเมื่อถูกสัมผัสหรือเสียดสี อาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ผิวหนัง ควรพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาทันที
สาเหตุ
สาเหตุของภูมิแพ้ผิวหนัง
สาเหตุของภูมิแพ้ผิวหนังอาจยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่อาจมีปัจจัยบางอย่างเป็นตัวกระตุ้นที่ส่งผลให้ผิวหนังอักเสบ ดังนี้
- สารระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ผงซักฟอก แชมพู สบู่ น้ำยาล้างจาน
- สารก่อภูมิแพ้ เช่น สภาพอากาศที่หนาวเย็น ขาดความชื้น ไรฝุ่น มลพิษ ขนสัตว์ ละอองเกสร น้ำหอม
- ภูมิแพ้อาหาร เช่น ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ไข่ นมวัว
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาจพบได้ในผู้หญิงก่อนมีประจำเดือน และระหว่างตั้งครรภ์
- ระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นภูมิแพ้ผิวหนัง
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้ผิวหนัง มีดังนี้
- พันธุกรรมคนในครอบครัวที่เคยมีประวัติการเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคภูมิแพ้ ไข้ละอองฟาง และโรคหอบหืด
- พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การอาบน้ำร้อน อาบน้ำนาน เพราะอาจส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวแห้ง จนนำไปสู่อาการคันระคายเคือง
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยภูมิแพ้ผิวหนัง
คุณหมออาจสอบถามประวัติสุขภาพ และสอบถามเกี่ยวกับอาหารที่รับประทาน รวมถึงสารระคายเคือง หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ เพื่อหาสาเหตุที่อาจก่อให้เกิดภูมิแพ้ผิวหนัง จากนั้นอาจเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อผิวหนัง เพื่อนำไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ
การรักษาภูมิแพ้ผิวหนัง
การรักษาภูมิแพ้ผิวหนัง มีดังต่อไปนี้
- ครีมคอร์ติโคสเตียรอยด์ อาจช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง โดยคุณหมออาจแนะนำให้ทาระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งควรทาบริเวณที่ได้รับผลกระทบ 1-2 ครั้ง/วัน เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจทำให้รู้สึกแสบร้อนผิวหนัง รูขุมขนอักเสบ สีผิวเปลี่ยนแปลง
- ยาทาในกลุ่มแคลซินูลิน อินฮิบิเตอร์ (Calcineurin inhibitor) เช่น ทาโครลิมัส (Tacrolimus) พิเมโครลิมัส (Pimecrolimus) กดภูมิคุ้มกันของผิวหนัง ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาแพ้เมื่อสัมผัสกับสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ระหว่างที่ใช้ยานี้ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดเพราะทำให้ผิวไวต่อแสง
- เพรดนิโซโลน (Prednisolone) สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง คุณหมออาจให้รับประทานเพรดนิโซโลน (Prednisolone) สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง คุณหมออาจให้รับประทานแต่อาจให้รับประทานระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น คลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ ประจำเดือนมาไม่ปกติ เพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เลือดออกง่าย การมองเห็นเปลี่ยนแปลง
- ยาปฏิชีวนะ คุณหมออาจแนะนำให้ทายาปฏิชีวนะในรูปแบบครีมบนผิวหนังที่มีอาการ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
- การบำบัดด้วยแสง คุณหมออาจฉายรังสีอัลตราไวโอเลต A และ B ในบริเวณผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ แต่วิธีการนี้อาจไม่เหมาะสำหรับทารกและเด็กเล็ก เนื่องจากผิวหนังของเด็กค่อนข้างบอบบาง
- การทำแผลแบบเปียก (Wet dressings) เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลจากผิวหนังอักเสบ เช่น แผลหนอง ตุ่มใส โดยคุณหมอจะทำความสะอาดแผลและใช้ผ้าก๊อซชุบน้ำเกลือหมาด ๆ ประคบเป็นเวลา 10-15 นาที จากนั้นจะทายาฆ่าเชื้อ หรือยาทากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์และพันผ้าพันแผล
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันภูมิแพ้ผิวหนัง
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันภูมิแพ้ผิวหนัง อาจทำได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ที่ส่งผลให้ผิวระคายเคือง เช่น ขนสัตว์เลี้ยง น้ำหอมฝุ่นควัน ละอองเกสร
- ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน และเสื้อผ้า สูตรอ่อนโยน ถนอมผิว
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ที่ปราศจากน้ำหอม โดยควรทาหลังจากอาบน้ำและควรเช็ดตัวให้แห้งสนิทก่อนทา
- จำกัดระยะเวลาอาบน้ำไม่เกิน 10 นาที และควรอาบน้ำอุณหภูมิปกติ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนหรือเย็นจนเกินไป เพราะอาจส่งผลให้ผิวแห้ง ระคายเคือง
- ไม่ควรขัดผิวอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง และเกิดบาดแผล เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค