โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า โรคต่อมไขมันอักเสบ มักปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนในรูปแบบผื่นแดงตามจุดต่าง ๆ บนผิวหนัง และมีสะเก็ดบนหนังศีรษะ และอาจทำให้รู้สึกคันระคายเคือง คล้ายกับโรคสะเก็ดเงิน แม้ไม่สามารถรักษาให้หายขนาดได้ แต่มี ยารักษาโรคเซ็บเดิร์ม ที่คุณหมอนิยมใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้
[embed-health-tool-bmi]
สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของ โรคเซ็บเดิร์ม
แม้จะยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของโรคเซ็บเดิร์มได้ แต่สันนิษฐานว่า โรคเซ็บเดิร์มส่วนใหญ่อาจเกิดจากต่อมไขมันอักเสบ รวมทั้งเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้มีการพัฒนาเป็นโรคเซ็บเดิร์ม เช่น ระดับความเครียด ยีนส์ ยาบางชนิด ระบบภูมิคุ้มกัน สภาพอากาศเย็นและแห้ง โรคนี้สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่พบมากในเด็กวัยทารกแรกเกิดและผู้ใหญ่ที่มีอายุ 30-60 ปี และเกิดขึ้นบ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงด้านภาวะสุขภาพและโรคต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ก็อาจทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังเกิดการอักเสบจนเป็นโรคเซ็บเดิร์มได้เช่นกัน
- การติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะระยะเอดส์
- โรคซึมเศร้า
- โรคสะเก็ดเงิน
- โรคพาร์กินสัน
- โรคหลอดเลือดสมอง
- ภาวะหัวใจวาย
- อาการพิษสุราเรื้อรัง
โดยปกติ โรคเซ็บเดิร์มอาจส่งสัญญาณเตือนและทำให้สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น อาการคัน ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดง ผิวหนังลอก และคราบไขมันบริเวณหนังศีรษะ ใบหน้า ผม หนวด รักแร้ เปลือกตา หากเริ่มมีอาการดังกล่าว ควรเข้ารับการวินิจฉัยจากคุณหมอ เพื่อตรวจผิวหนังและร่างกายอย่างละเอียด
การวินิจฉัยโรคเซ็บเดิร์ม ก่อนเริ่มรักษา
เมื่อเข้ารับการวินิจฉัย คุณหมออาจเริ่มจากการขูด หรือนำชิ้นส่วนของเซลล์ผิวหนังไปตรวจ เพื่อหาสาเหตุหรือเปรียบเทียบลักษณะว่าคล้ายกับโรคผิวหนังชนิดใดบ้าง พร้อมสอบถามอาการอื่น ๆ ที่เป็นร่วมด้วย ก่อนประเมินวิธีรักษาที่เหมาะสม
ยารักษาโรคเซ็บเดิร์ม ที่คุณหมอแนะนำ
แม้ว่า เซ็บเดิร์ม จะเป็นโรคผิวหนังที่ไม่สามารถ รักษา ให้หายขาด แต่อาจใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการของโรคให้ดีขั้นตามลำดับแทน โดยยาที่คุณหมอแนะนำให้ใช้บรรเทาอาการ และยับยั้งความรุนแรงของอาการคัน และผดผื่น มีดังนี้
- ยาต้านเชื้อราในรูปแบบเม็ด
- ยาทาชนิดครีมต้านเชื้อรา เช่น พิเมโครลิมัส (Pimecrolimus) ยาทาโครลิมัส (Tacrolimus) คีโทโคนาโซล (Ketoconazole)
- ยาคอร์ติโคสสเตียรอยด์ เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) ฟลูโอซิโนโลน (Fluocinolone)
- ครีม หรือขี้ผึ้งที่ลดการอักเสบ เช่น ฟลูโอซิโนโลน (Fluocinolone) โคลเบทาซอล (Clobetasol) ซีลีเนียมซัลไฟด์ (Selenium Sulfide)
การใช้ยาควรใช้ต่อเนื่องเป็นประจำตามใบสั่งยา และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ยา ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ด้วยการรักษาสุขอนามัยบริเวณผิวหนังที่มีผื่นแดงขึ้นด้วยการทำความสะอาดอย่างเบามือ ทามอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากแอลกอฮอล์ อ่อนโยนต่อผิวหนัง ไร้สารเคมี พร้อมสวมใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ ไม่เสียดสีกับผิวหนัง เพราะอาจทำให้ผิวหนังอักเสบกว่าเดิมได้ หากมีข้อสงสัย ควรสอบถามคุณหมอ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้หรือรักษาอาการด้วยตนเองเพราะอาจทำให้อาการที่เป็นอยู่กำเริบและรุนแรงขึ้นได้