ลมพิษ เป็นผื่นผิวหนังที่มักเกิดจากการแพ้อาหาร เช่น ถั่ว ไข่ นม ยา เช่น ยาแอสไพริน การติดเชื้อ ความร้อน แรงเสียดสี ซึ่งอาจทำให้มีผื่นแดงที่ผิวหนังกระจายเป็นวงกว้าง และมีอาการคัน อาการอาจหายไปภายใน 24 ชั่วโมง แต่อาจกำเริบได้เมื่อถูกกระตุ้น การทราบว่า ลมพิษเกิดจากอะไร อาจช่วยให้หลีกเลี่ยงสาเหตุนั้น ๆ ได้ ช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างตรงจุด และอาจช่วยลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นซ้ำได้
คำจำกัดความ
ลมพิษเกิดจากอะไร
ลมพิษ เป็นอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาหาร ยาบางชนิด การติดเชื้อ แสงแดด ความร้อน แรงเสียดสี โดยลมพิษแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ลมพิษเฉียบพลัน ที่เกิดขึ้นเพียงระยะสั้นไม่เกิน 6 สัปดาห์ และลมพิษเรื้อรัง ที่อาจเกิดขึ้นนานกว่า 6 สัปดาห์ อาจทำให้มีอาการคัน ผื่นหรือตุ่มนูนแดง กระจายเป็นวงกว้าง ซึ่งอาการเหล่านี้หากเกิดขึ้นเรื้อรังอาจรบกวนการใช้ชีวิต การนอนหลับได้ นอกจากนี้ ในบางคนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างโรคภูมิแพ้ ที่อาจทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ หายใจลำบาก ริมฝีปาก เปลือกตาและลิ้นบวม ซึ่งเป็นอาการแพ้รุนแรงที่ควรเข้ารับการรักษาโดยด่วน
อาการ
อาการลมพิษ
อาการลมพิษที่สามารถสังเกตได้ มีดังนี้
- ผื่นคันสีชมพูหรือสีแดง
- ผื่นเป็นรูปวงกลมหรือวงรีกระจายเป็นวงกว้าง มักเกิดขึ้นที่ใบหน้า แขนขา มือ นิ้ว เท้า และนิ้วเท้า
- ผื่นจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง แต่อาจขึ้นซ้ำได้
หากผื่นไม่หายไปภายใน 48 ชั่วโมง อาการรุนแรงขึ้น รบกวนการใช้ชีวิต หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เวียนศีรษะ หายใจมีเสียงหวีดแน่นหน้าอก ลิ้น ปาก หรือใบหน้าบวม ควรรีบเข้ารับการรักษาทันที
สาเหตุ
สาเหตุลมพิษ
ลมพิษแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือลมพิษเฉียบพลันและลมพิษเรื้อรัง ดังนี้
1. ลมพิษเฉียบพลัน
ลมพิษเฉียบพลันเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่เกิน 6 สัปดาห์ มักมีสาเหตุมาจากอาหาร ยาบางชนิด และการติดเชื้อจากแมลงกัดต่อยหรือโรคติดเชื้อบางชนิด
อาหารที่ทำให้เกิดลมพิษมักเป็นอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุก มีวัตถุเจือปนอาหาร และสารกันบูด เช่น ถั่ว ช็อกโกแลต ปลา มะเขือเทศ ไข่ เบอร์รี่สด นม
ยาบางชนิดที่อาจทำให้เกิดลมพิษ ได้แก่ ยาแอสไพริน ยาต้านการอักเสบ เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยารักษาความดันโลหิตสูง เช่น สารยับยั้งเอซีอี (ACE inhibitors) และยาแก้ปวด เช่น โคเดอีน (Codeine)
2. ลมพิษเรื้อรัง
ลมพิษเรื้อรังเกิดขึ้นนานกว่า 6 สัปดาห์ มักระบุสาเหตุได้ยาก อาจมีสาเหตุเดียวกับลมพิษเฉียบพลัน หรืออาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ โรคไวรัสตับอักเสบติดเชื้อ หรือโรคมะเร็ง ลมพิษอักเสบเรื้อรังจะส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายในร่างกาย เช่น ปอด กล้ามเนื้อ ทางเดินอาหาร รวมถึงอาจทำให้มีอาการหายใจถี่ ปวดกล้ามเนื้อ และท้องเสีย
นอกจากนี้ ยังมีลมพิษทางกายภาพซึ่งเป็นลมพิษที่เกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น ความเย็น ความร้อน แสงแดด การเสียดสี แรงกดบนผิวหนัง ภาวะเหงื่อออกมาก โดยมักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่ถูกกระตุ้น และสามารถหายไปเองได้ภายใน 1 ชั่วโมง
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงลมพิษ
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดลมพิษ มีดังนี้
- สารก่อภูมิแพ้ เช่น ถั่ว หอย ไข่ นม ละอองเกสร
- สิ่งกระตุ้น เช่น เหงื่อ ความร้อน แรงเสียดสี ความเครียด
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟน สารยับยั้งเอซีอี ยาโคเดอีน
- สารเคมี
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยลมพิษ
การวินิจฉัยว่าลมพิษเกิดจากอะไร คุณหมออาจซักประวัติสุขภาพ การใช้ยา อาหาร และอาการ รวมถึงตรวจอาการที่แสดงบนผิวหนัง นอกจากนี้ คุณหมออาจทดสอบเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ทดสอบทางผิวหนังเพื่อหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจเป็นไปได้
การรักษาลมพิษ
ลมพิษสามารถรักษาได้ด้วยยาที่จำหน่ายตามร้านขายยาทั่วไป แต่หากมีอาการรุนแรงขึ้น คุณหมออาจแนะนำยาชนิดอื่นที่เหมาะสมกับอาการเพิ่มเติม ดังนี้
ยาแก้แพ้ ช่วยป้องกันร่างกายปล่อยสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ได้แก่
- ลอราทาดีน (Loratadine)
- เฟกโซเฟนาดีน (Fexofenadine)
- เซทิริซีน (Cetirizine)
- เดสลอราทาดีน (Desloratadine)
หากรักษาด้วยยาเหล่านี้แล้วอาการไม่ดีขึ้น คุณหมออาจสั่งยาชนิดอื่นเพิ่ม เช่น ไฮดรอกไซซีน (Hydroxyzine) ด็อกเซปิน (Doxepin) แต่อาจมีผลข้างเคียง คือ ทำให้ง่วงนอน
ยาอื่น ๆ ใช้รักษาอาการลมพิษเมื่อยาต้านฮีสตามีนไม่สามารถบรรเทาอาการได้ ดังนี้
- ตัวบล็อกฮีสตามีน (H-2) แบบฉีดหรือรับประทาน เช่น ซิเมทิดีน (Cimetidine) ฟาโมทิดีน (Famotidine)
- ยาต้านการอักเสบ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน เช่น เพรดนิโซน (Prednisone) ช่วยลดอาการบวม รอยแดง และอาการคัน มักใช้ควบคุมลมพิษรุนแรงหรือภูมิแพ้ หากใช้เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงได้
- ยารักษาโรคซึมเศร้า เช่น ยาด็อกเซปินแบบครีม ช่วยบรรเทาอาการคัน อาจมีผลข้างเคียง คือ ทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะและง่วงนอน
- ยารักษาโรคหอบหืดกับยาแก้แพ้ เช่น มอนเทลูคาสท์ (Montelukast) ซาฟิร์ลูคาสท์ (Zafirlukast)
- ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ไซโคลสปอริน (Cyclosporine) ทาโครลิมัส (Tacrolimus)
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อจัดการกับลมพิษ
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ดังต่อไปนี้ อาจช่วยป้องกันลมพิษได้
- สวมเสื้อผ้าที่หลวม โปร่ง และระบายอากาศได้ดี
- หลีกเลี่ยงการเกาหรือใช้สบู่ที่รุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้
- หากมีอาการลมพิษ อาจบรรเทาเองด้วยการแช่น้ำในอ่างอาบน้ำ เปิดพัดลม ประคบหรือเช็ดด้วยผ้าเย็น ทาโลชั่นหรือครีมแก้คัน เป็นต้น
- จดบันทึกว่าลมพิษเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร อาจช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นลมพิษ และสามารถบอกคุณหมอได้เมื่อมีอาการ
- ทาครีมกันแดดก่อนออกไปข้างนอก เพราะแสงแดดอาจเป็นตัวกระตุ้นลมพิษได้
[embed-health-tool-heart-rate]