มะเร็งตับ เกิดจากเซลล์ในตับพัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็ง ที่พบได้มากที่สุดมักเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ตับ โดยเริ่มจากเนื้องอกที่เกิดขึ้นในตับ ไม่ได้เกิดมาจากการแพร่กระจายจากส่วนสำคัญอื่นใดในร่างกายมาสู่ตับ
คำจำกัดความ
มะเร็งตับ คืออะไร
มะเร็งตับ(Liver cancer) เกิดจากเซลล์ในตับพัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็ง
ตับเป็นอวัยวะหนึ่งในส่วนขวาบนของช่องท้อง ซึ่งอยู่ใต้กะบังลมและกระเพาะอาหาร มะเร็งตับที่พบได้มากที่สุดมักเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ตับ โดยเริ่มจากเนื้องอกที่เกิดขึ้นในตับ ไม่ได้เกิดมาจากการ แพร่กระจายจากส่วนสำคัญอื่นใดในร่างกายมาสู่ตับ
มะเร็งที่เกิดในอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย เช่น ลำไส้ ปอด หรือหน้าอก แล้วลุกลามไปยังตับ ไม่ใช่มะเร็งตับแต่จะเรียกว่ามะเร็งระยะแพร่กระจาย (metastatic cancer)
มะเร็งตับพบได้บ่อยเพียงใด
มะเร็งตับพบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยมักพบในผู้ที่อายุ 50
ถึง 70 ปี การวินิจฉัยในระยะเริ่มแรกจะนำไปสู่การพยากรณ์โรคที่เหมาะสม โดยสามารถจัดการกับโรคนี้ได้โดยลดความเสี่ยงลง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
อาการ
อาการของโรค มะเร็งตับ
ผู้ป่วยหนึ่งในสามไม่มีอาการมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น แต่เมื่อโรคเริ่มพัฒนาขึ้น อาจะมีสัญญาณบ่งชี้และอาการดังนี้
- น้ำหนักลดลงอย่างมากจนผิดปกติ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง
- ท้องโต
- มีภาวะเบื่ออาหารหรือไม่สามารถรับประทานอาหารได้
- อ่อนเพลีย
- มีอาการดีซ่าน
- ซีด
อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการที่ไม่ได้ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ โปรดปรึกษาแพทย์
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
ให้แจ้งแพทย์หากคุณมีอาการใด ๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น เช่น ปวดท้องรุนแรง มีไข้สูงเรื้อรัง เป็นต้น สถานการณ์และภาวะของโรคมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน หมั่นปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการวินิจฉัย การรักษา และวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
สาเหตุ
สาเหตุของโรคมะเร็งตับ
สาเหตุของมะเร็งตับส่วนใหญ่ไม่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ดี ในบางกรณี อาจเกิดจากตับอักเสบสาเหตุอื่นๆ ที่พบได้บ่อยได้แก่ ภาวะตับแข็ง หรือตับเสียหายจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โรคอ้วน หรือไขมันพอกตับ มะเร็งตับเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ตับเปลี่ยนแปลงไป หรือ การผ่าเหล่าในระดับดีเอ็นเอ ส่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย ต่อมาเซลล์ตับจะเริ่มเสียการควบคุมและเกิดเนื้องอกขึ้น
ปัจจัยความเสี่ยง
ปัจจัยความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับ
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับ ได้แก่
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) หรือไวรัสตับอักเสบซี (HCV) เรื้อรัง
- ภาวะตับแข็ง ซึ่งมีการก่อตัวของพังผืดในตับ
- โรคตับทางพันธุกรรมที่เกิดจากภาวะเหล็กมากเกินไป และโรควิลสัน
- โรคเบาหวาน ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับน้ำตาลในเลือดจะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับสูงกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน
- ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ การสะสมตัวของไขมันในตับสามารถทำให้เกิดมะเร็งตับได้
- การสัมผัสสารอะฟลาท็อกซิน หรือสารพิษในอาหารที่ทำจากข้าวโพด ถั่ว และอื่นๆ
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นประจำในเวลาหลายปี
จะทำให้ตับเสียหายและเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับ
- โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับ ไขมันพอกตับ และตับแข็งได้
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลที่นำเสนอมิได้ใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรค มะเร็งตับ
การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับมักเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากเซลล์เยื่อบุตับที่เป็นมะเร็งมักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก ในการวินิจฉัย แพทย์อาจทำการตรวจเลือดแบบ AFP (alpha fetoprotein) หรือตรวจการทำงานของตับในผู้ป่วยตับแข็งหรือตับอักเสบบีและซี อย่างไรก็ดี การทดสอบนี้ยังคงได้ผลไม่แน่ชัดเนื่องจากเซลล์ตับที่เป็นมะเร็งอาจไม่สามารถตรวจพบในการตรวจเลือด ดังนั้น แพทย์จะสามารถทำการตรวจเลือดร่วมกับการทดสอบอื่นๆ เช่น
การตรวจอัลตราซาวนด์ การตรวจทีซีสแกน หรือ เอ็มอาร์ไอ หากภาพถ่ายอัลตราซาวนด์แสดงให้เห็นเนื้องอก แพทย์จะทำการตรวจตัวอย่าง เนื้อเยื่อตับ โดยใช้เข็มสอดเข้าไปเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อและใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง
การรักษาโรคมะเร็งตับ
การรักษามะเร็งตับขึ้นอยู่กับระยะของโรค อายุ และภาวะสุขภาพ การผ่าตัดเป็นการรักษาที่เหมาะสมที่สุด แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้ารับ การผ่าตัดได้เนื่องจากภาวะตับแข็งหรือเนื้องอกอาจแพร่กระจายได้ โดยเนื้องอกที่มีขนาดเล็กกว่า 5 ซม. อาจแพร่กระจายและไม่สามารถผ่าตัดได้ แต่จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของตับและจะไม่มีอาการซ้ำในอนาคต ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดสามารถรักษาได้โดยวิธีอื่นๆ ซึ่งได้แก่ การรักษาด้วยเคมีบำบัด โดยมีการฉีดยาเอทานอลเข้าไปในเส้นเลือดเพื่อทำลายเนื้องอกโดยตรง ผู้ที่มีก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่หรือตับได้รับความเสียหายมากอาจต้องใช้วิธีการเปลี่ยนถ่ายตับ จากผู้ที่บริจาคตับ
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองที่ช่วยรับมือกับโรคมะเร็งตับ
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการการเยียวยาตัวเองดังต่อไปนี้จะช่วยให้คุณรับมือกับโรคมะเร็งตับได้
- นัดตรวจร่างกายซ้ำเพื่อติดตามความต่อเนื่องของอาการ รวมทั้งสุขภาพโดยรวม
- รับฟังข้อแนะนำของแพทย์ โดยไม่ใช้ยาที่ไม่ได้ระบุในใบสั่งยา หรือเลิกยาโดยพลการโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์
- เรียนรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งตับเพื่อให้สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาที่เหมาะสมได้
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หากคุณมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้นถึงวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค และการรักษาโรคแต่อย่างใด