ฮอร์โมนเพศชายต่ำ (Hypogonadism) เป็นอาการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ได้มากเพียงพอ ซึ่งฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการเติบโตและพัฒนาของเพศชายขณะที่อยู่ในวัยรุ่น หรือมีความสามารถในการผลิตอสุจิได้ต่ำ หรือทั้ง 2 อาการ โดยฮอร์โมนเพศชายต่ำอาจเกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรืออาจเกิดขึ้นภายหลังก็ได้เช่นกัน
[embed-health-tool-heart-rate]
คำจำกัดความ
Hypogonadism คือ อะไร
Hypogonadism คือ อาการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนได้มากเพียงพอ ฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการเติบโตและพัฒนาของเพศชายขณะที่อยู่ในวัยรุ่น หรือมีความสามารถในการผลิตอสุจิได้ต่ำ หรือทั้ง 2 อาการ
ฮอร์โมนเพศชายต่ำอาจเกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรืออาจเกิดขึ้นในภายหลังก็ได้เช่นกัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ฮอร์โมนเพศชายต่ำอาจเกิดจากการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อ โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุ และช่วงเวลาของการเกิดภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ ซึ่งภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำบางประเภทอาจรักษาได้ด้วยการบำบัดทดแทนฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน
Hypogonadism พบได้บ่อยได้แค่ไหน
ฮอร์โมนเพศชายต่ำอาจเกิดขึ้นได้กับผู้ชายทุกช่วงอายุ แต่อาการฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนต่ำนั้นมักจะพบมากในผู้ชายสูงอายุ มากกว่า 60% ของผู้ชายที่อายุมากกว่า 65 ปีนั้น มีปริมาณของฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนกว่าระดับปกติของผู้ชายที่อายุ 30-35 ปี
อาการ
อาการของ Hypogonadism
การขาดฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนอาจทำให้เกิดอาการได้มากมาย โดยอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- อายุขณะที่มีอาการ
- ระดับของการขาดฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน
- อาการเกิดขึ้นมานานเท่าไหร่แล้ว
หากฮอร์โมนเพศชายต่ำ เกิดขึ้นกับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ช่วงต้นที่ยังไม่แตกหนุ่มอย่างเต็มตัว อาจทำให้ดูเด็กกว่าอายุจริง มีองคชาตขนาดเล็ก มีหนวดน้อย เสียงไม่แตกหนุ่ม และสร้างมวลกล้ามเนื้อได้ยาก แม้จะออกกำลังกาย แต่ถ้าฮอร์โมนเพศชายต่ำเกิดขึ้นกับผู้ที่เริ่มแตกหนุ่มอาจทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้
- การพัฒนาทางเพศไม่สมบูรณ์
- ขนาดของอัณฑะลดลง
- หน้าอกใหญ่
สำหรับอาการของฮอร์โมนเพศชายต่ำที่เกิดขึ้นในผู้เริ่มเป็นผู้ใหญ่ อาจมีดังนี้
- หย่อนสมรรถภาพทางเพศ
- ปริมาณของอสุจิต่ำ
- อารมณ์หดหู่
- ความต้องการทางเพศลดลง
- เซื่องซึม
- การนอนหลับผิดปกติ
- มวลกล้ามเนื้อและพละกำลังลดลง
- ขนบริเวณอวัยวะเพศ รักแร้ และใบหน้าร่วง
- โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) และความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูกลดลง
- ไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น
- ไม่สบายที่หน้าอกและหน้าอกมีขนาดใหญ่ขึ้น
- ร้อนวูบวาบ
- เหงื่อออก
- ไม่มีสมาธิ ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง
ควรไปพบหมอเมื่อไร
ถ้ามีอาการใด ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น หรือมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษากับคุณหมอ เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดจึงควรพูดคุยกับหมอเพื่อหาแนวทางในการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
สาเหตุ
สาเหตุของ Hypogonadism
ฮอร์โมนเพศชายต่ำอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำแบบปฐมภูมิ อัณฑะจะไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นฮอร์โมน อาจเกิดได้จากโรคประจำตัว เช่น กลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์ (Klinefelter’s Syndrome) หรือเป็นผลมาจากการทำฉายรังสีบำบัด เคมีบำบัด เนื้องอก หรือการบาดเจ็บที่อัณฑะ
สำหรับฮอร์โมนเพศชายต่ำแบบทุติยภูมิ เป็นสภาวะของโรคที่ส่งผลกระทบต่อไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) หรือต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) ซึ่งเป็นต่อมหลักที่ปล่อยฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นอัณฑะและผลิตฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน
โดยสิ่งที่อาจกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนเพศชายต่ำทุติยภูมิ อาจมีดังนี้
- ภาวะทุพโภชนาการ (Malnutrition)
- โรคที่เกิดกับร่างกายทุกส่วน (Systemic Illness)
- ความเครียด
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด
- ตับแข็ง
- สารพิษ เช่น แอลกอฮอล์ โลหะหนัก
- โรคอ้วน
ใบบางครั้งคำว่าผู้ชายวัยทอง (Andropause) อาจใช้เพื่ออธิบายถึงการลดลงของฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน ว่าเป็นขั้นปกติของอายุที่เพิ่มขึ้น ระดับของฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนในผู้ชายจะเพิ่มขึ้นจนถึงอายุ 17 ปี หลังจากนั้นในช่วงอายุประมาณ 40 ปี จะเริ่มลดลงปีละ 1.2%-2%
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของ Hypogonadism
ปัจจัยเสี่ยงของฮอร์โมนเพศชายต่ำ อาจมีดังนี้
- กลุ่มอาการคาลล์แมน (Kallmann Syndrome)
- อัณฑะอ่อนแอขณะเป็นทารก
- การติดเชื้อคางทูมที่มีผลต่ออัณฑะ
- การบาดเจ็บที่อัณฑะ
- เนื้องอกที่อัณฑะหรือต่อมใต้สมอง
- เอชไอวี/เอดส์
- กลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์
- ภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis)
- เคยทำเคมีบำบัดหรือฉายรังสีบำบัดมาก่อน
- โรคหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) ที่ไม่ได้รับการรักษา
ฮอร์โมนเพศชายต่ำอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หากคนในครอบครัวมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ โปรดแจ้งคุณหมอในทันที
การวินิจฉัยโรคและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับคุณหมอทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัย Hypogonadism
คุณหมอจะทำการตรวจร่างกายโดยการบันทึกว่า พัฒนาการทางเพศ เช่น ขนในที่ลับ มวลกล้ามเนื้อ ขนาดของอัณฑะ เหมาะสมกับอายุหรือไม่ คุณหมออาจต้องตรวจเลือด เพื่อดูระดับของฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนว่า มีสัญญาณหรืออาการของฮอร์โมนเพศชายต่ำหรือไม่
การตรวจพบโรคได้เร็วสำหรับเด็กผู้ชายอาจช่วยป้องกันปัญหาจากการแตกหนุ่มช้า การตรวจพบโรคและรักษาโรคได้เร็วสำหรับผู้ชายอาจช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้
คุณหมอจะวินิจฉัยฮอร์โมนเพศชายต่ำ โดยขึ้นอยู่กับอาการและผลตรวจเลือด เพื่อวัดระดับฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน เนื่องจากระดับของฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนนั้นมักจะสูงมากในช่วงเช้า การตรวจเลือดจึงมักทำในช่วงเช้า ก่อน 10 โมงเช้า
หากผลตรวจยืนยันว่า มีระดับของฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนต่ำ จะต้องมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อบ่งชี้ว่า เป็นสาเหตุจากอาการผิดปกติของอัณฑะหรือต่อมใต้สมอง โดยการตรวจเพิ่มเติมอาจทำได้ ดังนี้
- การตรวจฮอร์โมน
- การวิเคราะห์อสุจิ
- การฉายภาพของต่อมใต้สมอง
- การศึกษากรรมพันธุ์
- การตัดชิ้นเนื้อตัวอย่างจากอัณฑะเพื่อไปตรวจ
การตรวจฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนนั้น อาจช่วยให้คุณหมอสามารถบ่งชี้ขนาดยา และยาที่ถูกต้อง เพื่อรักษาฮอร์โมนเพศชายต่ำทั้งในระยะเริ่มต้นและเมื่อเวลาผ่านไป
การรักษา Hypogonadism
การบำบัดด้วยฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน (Testosterone Replacement Therapy หรือ TRT) เป็นการรักษาที่แนะนำสำหรับผู้ที่มีฮอร์โมนเพศชายต่ำ
โดยปกติแล้วจะให้เป็นยาเจลใช้เฉพาะที่ แผ่นแปะยาที่ผิวหนัง หรือการฉีดยา ไม่มีการใช้ยาเม็ดฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงในการเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการท้องไส้ปั่นป่วน
การบำบัดด้วยฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน อาจช่วยกำจัดสัญญาณและอาการของภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำได้มากมาย หรืออาจจะทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การบำบัดด้วยฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนอาจมีข้อดี ดังนี้
- มีความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้น
- ทำให้อารมณ์ดีขึ้น
- เพิ่มความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูก
- เพิ่มคุณภาพชีวิตโดยรวม
สำหรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการบำบัดด้วยฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน อาจมีดังนี้
- โรคต่อมลูกหมากโตแย่ลงไปมากกว่าเดิม
- เร่งความเร็วของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากที่มีอยู่ก่อนแล้ว
- โรคหยุดหายใจขณะหลับ และโรคหัวใจวายแย่ลง
ดังนั้น ผู้ชายที่ทำการบำบัดด้วยฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน จำเป็นต้องมีการประเมินทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง เช่น การตรวจเลือดเป็นประจำ การตรวจทางทวารหนักเป็นครั้งคราว เพื่อตรวจหาการตอบสนองที่เพียงพอต่อการรักษา นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงข้น (Erythrocytosis) ซึ่งอาการที่เกี่ยวข้องกับเปอร์เซ็นต์ของเซลล์เม็ดเลือดแดงในเลือดสูง ไม่ควรทำการบำบัดด้วยฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน
การตอบสนองต่อการบำบัดด้วยฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และระดับของฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าใครจะตอบสนองต่อการบำบัดด้วยฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนหรือไม่ นอกจากนี้ การบำบัดด้วยฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนอาจช่วยบรรเทาอาการของภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำได้ แต่อาจไม่สามารถฟื้นฟูความเจริญพันธุ์ให้กลับมาเหมือนเดิมได้
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์หรือการดูแลตัวเองที่จะช่วยรับมือฮอร์โมนเพศชายต่ำ
การปรับไลฟ์สไตล์หรือการดูแลตัวเอง เพื่อช่วยรับมือฮอร์โมนเพศชายต่ำอาจทำได้ ดังนี้
- ลดน้ำหนัก
- ออกกำลังกาย
- จัดการกับความเครียด
- นอนหลับให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- เลิกบุหรี่