จอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย เป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นที่ชัดเจน มักพบในผู้สูงวัยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยอาจมีสัญญาณเตือน เช่น ตาเริ่มพร่ามัว การมองเห็นภาพไม่ชัด และเมื่อเวลาผ่านไปอาการอาจแย่ลง หากไม่ทำการรักษา อาจสร้างความไม่สะดวกสบายในการใช้ชีวิต และสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร เมื่ออายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
คำจำกัดความ
จอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย คืออะไร
จอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย เป็นโรคที่เกี่ยวข้องทางสายตา เกิดจากความผิดปกติบริเวณเรตินาที่เป็นชั้นบาง ๆ ของจุดกลางการรับภาพ และรับรู้แสงที่อยู่ด้านหลังของดวงตา โดยที่ภาพด้านข้างของการมองเห็นยังสามารถมองได้ ซึ่งจอประสาทตาเสื่อมจะไม่ทำให้ตาบอดแต่อย่างใด แต่อาจส่งผลกระทบในการมองเห็นระยะยาว เช่น เห็นขอบของนาฬิกา แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเวลาเท่าไร
ประเภทของจอประสาทตาเสื่อม
โดยประเภทของจอประสาทตาเสื่อม สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
- จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง เกิดจากการเสื่อมและบางตัวลงของบริเวณศูนย์กลางรับภาพของจอตา โดยมีจุดเหลืองบริเวณจอรับภาพตรงกลางของประสาทตา ที่เรียกว่า ดรูเซ่น (Drusen) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการมองเห็น รวมถึงการมองเห็นค่อย ๆ ลดลง และสูญเสียการมองเห็นส่วนกลาง พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
- จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก เกิดจากการเสื่อมโดยมีเส้นเลือดผิดปกติงอกขึ้นมาใหม่ ภายใต้เรติน่าและแมคูล่าหากเส้นเลือดนี้เปราะบางจะเกิดการรั่วไหลเข้าสู่เรตินา ทำให้การมองเห็นบิดเบี้ยว ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นส่วนกลางอย่างถาวร
จอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย พบได้บ่อยแค่ไหน
โดยส่วนใหญ่จอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัยมักจะพบในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป มักจะพบเจอในประเภทแบบแห้งมากถึง 85 ถึง 90% ของผู้ป่วยจอประสาทตาเสื่อม และพบประมาณ 10 ถึง 15 % ในประเภทแบบเปียก ซึ่งเป็นคนที่มีอาการจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้งมาก่อน
อาการ
อาการจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย
เมื่ออยู่ในระยะเริ่มต้นของจอประสาทตาเสื่อม อาจยังไม่มีอาการและสัญญาณใด ๆ แต่สามารถสังเกตได้ว่าหากจอประสาทตาเสื่อมอาจทำให้ การอ่านหนังสือ การดูทีวี การขับรถ หรือแม้แต่การจดจำใบหน้าเป็นไปได้ยากขึ้น โดยการมองเห็นจะมีการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยหรือกะทันหัน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ 1 ข้าง หรือทั้ง 2 ข้างของดวงตา และอาจมีอาการอื่น ๆ ได้แก่ เห็นเส้นตรงเป็นคลื่น หรือบิดเบี้ยว วัตถุดูเล็กลงกว่าปกติ รับรู้สีที่เปลี่ยนไป จนอาจกลายเป็นการสูญเสียการมองเห็นจากส่วนกลาง
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
ควรไปพบคุณหมอเมื่อมีอาการดังกล่าวที่กล่าวมาในข้างต้น หรือหากมีความกังวลเกี่ยวกับการมองเห็น โดยเมื่ออายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจสายตาและติดตามผลทุก 2 ถึง 4 ปี ซึ่งยังสามารถตรวจเช็คเบื้องต้นได้จากการมองเห็นในทุกวัน หากพบการเปลี่ยนแปลง โปรดแจ้งคุณหมอให้ทราบ เพื่อรับการรักษา
ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีการรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์
สาเหตุ
สาเหตุ จอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย
สาเหตุของจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัยนั้น ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่อาจเกี่ยวข้องกับยีน หรือพันธุกรรม ถ้าหากมีคนในครอบครัวเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นได้ แต่อย่างไรก็ตามบุคคลที่ไม่เคยมีประวัติในนครอบครัวเป็นโรคนี้ ก็สามารถเป็นได้เหมือนกัน
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของ จอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดจอประสาทตาเสื่อม ได้แก่
- อายุ โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีอายุ 50-60 ปีขึ้นไป
- กลุ่มคนผิวขาว
- พันธุกรรม
- น้ำหนักที่เกินเกณฑ์ หรือเป็นโรคอ้วน
- รับประทานอาหารจำพวกไขมันอิ่มตัวเป็นประจำ
- สูบบุหรี่
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย
คุณหมอจะทำการวินิจฉัยจากการตรวจดูดวงตา โดยอาจได้รับการทดสอบเหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งรายการ ซึ่งได้แก่
- การตรวจวัดลานตา (Visual field test) เพื่อเช็คการมองเห็นว่ามีการมองเห็นที่บิดเบี้ยวหรือไม่
- การตรวจโดยม่านขยายตา (Dilated Eye Exam) มีการหยดน้ำยาเพื่อขยายรูม่านตาให้กว้างขึ้นและใช้เลนส์พิเศษเพื่อมองเข้าไปในดวงตา
- การตรวจจอประสาทตาโดยการฉีดสี (Fluorescein Angiography) เป็นการฉีดฟลูออเซซินเข้าเส้นเลือดดำที่แขน และใช้กล้องพิเศษที่เปล่งแสงสีน้ำเงินในการถ่ายภาพ เพื่อให้คุณหมอวินิจฉัย
- Optical coherence tomography :OCT เป็นเครื่องมือที่วัดความหนาของจอตา และยังเห็นพยาธิสภาพใต้ชั้นจอตาได้อย่างละเอียดมากขึ้น
การรักษาจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย
โรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาจช่วยทำให้อาการช้าลง หรือป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้มากขึ้น เช่น
- การใช้ยาประเภทยับยั้งการสร้างหลอดเลือด เช่น อะฟลิเบอร์เสบ (aflibercept) เบวาซิซูแมบ (bevacizumab) แรนิบิซูแมบ (ranibizumab) เพื่อป้องกันการสร้างหลอดเลือดและการรั่วไหลเข้าสู่เรตินา
- การรักษาด้วยเลเซอร์ โดยใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูง ที่สามารถทำลายหลอดเลือดผิดปกติที่เติบโตในดวงตา
- การใช้เลเซอร์พลังงานต่ำและสารไวแสง คุณหมอจะฉีดยาที่ไวต่อแสง เวอร์ติพอร์ฟิน (verteporfin) เข้าสู่กระแสเลือด และถูกดูดซึมโดยหลอดเลือดผิดปกติ แล้วคุณหมอจะส่องเลเซอร์เข้าไปในดวงตา เพื่อกระตุ้นยาให้ทำลายหลอดเลือดเหล่านั้น
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองที่ช่วยจัดการกับจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์บางอย่างในชีวิตประจำวันอาจช่วยลดปัจจัยการเกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย ซึ่งประกอบด้วย
- การพบจักษุแพทย์เป็นประจำ เพื่อเช็คสัญญาณการเสื่อมของดวงตา และความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับดวงตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก
- การงดสูบบุหรี่ เนื่องจากผู้สูบบุหรี่อาจมีแนวโน้มที่จะเป็นจอประสาทตาเสื่อมมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
- การควบคุมน้ำหนัก หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ เพื่อไม่เกิดภาวะโรคอ้วน ที่อาจเป็นปัจจัยในการเกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อม
- การรับประทานผัก ผลไม้เป็นประจำ เพราะมีวิตามินต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี ลูทีน รวมไปถึงกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดจอประสาทตาเสื่อมผู้สูงวัย
- การสวมแว่นตากันแดด เมื่อเวลาออกไปข้างนอก เพื่อปกป้องดวงตาจากแสงอาทิตย์
[embed-health-tool-bmi]