เบาหวานเป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ที่เกิดจากร่างกายจัดการอินซูลินและน้ำตาลได้ไม่ดีพอ เกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยอินซูลินมีหน้าที่นำพาน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดที่ได้จากการรับประทานอาหาร เข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินไม่เพียงพอจึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป และเมื่อป่วยเป็นโรค เบาหวาน อาการ ที่พบอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค อย่างไรก็ตาม หากไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ไตเสียหาย จอประสาทตาเสื่อมได้
[embed-health-tool-bmi]
เบาหวาน คืออะไร
เบาหวาน คือ โรคเรื้อรังที่จะวินิจฉัยเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงตั้งแต่ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป ซึ่งเป็นผลจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้นานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง ระบบประสาทเสื่อม
เบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
- เบาหวานชนิดที่ 1 พบได้บ่อยในวัยเด็ก เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง ทำให้ตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตอินซูลินไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย นำไปสู่ภาวะน้ำตาลสะสมในเลือดสูงขึ้น อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย
- เบาหวานชนิดที่ 2 พบได้บ่อยในวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ที่อายุ 40 ปี ขึ้นไป เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือเซลล์ในร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หากปล่อยไว้นานอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย และน้ำหนักลดได้
ข้อมูลจากสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ระบุว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานร้อยละ 9.8 ในขณะที่ผู้ชายมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานร้อยละ 7.8 อีกทั้งโรคเบาหวานยังพบได้มากในช่วงอายุ 60-69 ปี โดยแบ่งออกเป็นผู้หญิงร้อยละ 21.9 และผู้ชายร้อยละ 15.9 นอกจากนี้ สตรีตั้งครรภ์บางรายมีความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์และอาจส่งผลให้บุตรเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานในอนาคต
เบาหวาน อาการ มีอะไรบ้าง
อาการของเบาหวานชนิดที่ 1 มีความรุนแรงกว่าเบาหวานชนิดที่ 2 แต่เบาหวานทั้ง 2 ชนิด อาจส่งผลให้เกิดอาการคล้ายกัน ดังนี้
- รู้สึกหิวบ่อย
- ปากแห้ง กระหายน้ำ
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง เช่น เห็นเป็นภาพซ้อน ตาพร่ามัว
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
- เหนื่อยล้าง่าย
- แผลหายช้า
- ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
- ปัสสาวะบ่อย และอาจส่งผลให้นอนหลับไม่เพียงพอ
- มีคีโตนในปัสสาวะมาก เนื่องจากร่างกายขาดพลังงาน
- คันบริเวณอวัยวะเพศ
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ติดเชื้อบ่อยครั้ง เช่น ติดเชื้อที่ผิวหนัง ติดเชื้อในช่องคลอด
การรักษาเบาหวาน
การรักษาเบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2 คือ การหมั่นตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด และการบำบัดด้วยยาอินซูลิน ประเภทของอินซูลินมีทั้งแบบออกฤทธิ์สั้น ออกฤทธิ์เร็ว และออกฤทธิ์นาน ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของคุณหมอว่าสภาวะสุขภาพของผู้ป่วยเหมาะกับอินซูลินรูปแบบใด นอกจากการใช้ยาอินซูลินแล้ว คุณหมออาจรักษาด้วยยารับประทาน หรือยาฉีดชนิดอื่น ๆ และในปัจจุบันมียารักษาเบาหวานหลากหลายชนิด เพื่อให้ร่างกายจัดการกับอินซูลินได้ดีขึ้น
หากรักษาด้วยยาอินซูลินไม่ได้ผล การปลูกถ่ายตับอ่อนใหม่อาจช่วยให้ร่างกายผลิตอินซูลินได้ดีขึ้น แต่วิธีนี้อาจไม่สำเร็จเสมอไป หรือผู้ป่วยอาจต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกันร่วมด้วย เพื่อป้องกันร่างกายปฏิเสธอวัยวะใหม่
การป้องกันเบาหวาน
ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 1 แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังต่อไปนี้ อาจช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น อาหารไขมันต่ำ มีเส้นใยอาหารสูง เน้นผักและผลไม้
- ออกกำลังกายในระดับความเข้มข้นปานกลางประมาณ 30 นาทีต่อวัน เช่น เดิน วิ่งเหยาะ ๆ
- ลดน้ำหนักส่วนเกิน ด้วยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจ