น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในคนทุกวัย เพราะมีรสชาติหวาน ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น แต่หาก ลูกติดน้ำอัดลม จะส่งผลเสียต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรช่วยให้ลูกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ลดการดื่มน้ำอัดลม เพื่อให้ลูกมีสุขภาพดีขึ้น
[embed-health-tool-bmi]
ลูกติดน้ำอัดลม อันตรายอย่างไร
หากลูกติดน้ำอัดลมอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ ดังนี้
เสี่ยงเกิดโรคอ้วน
เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงอย่างน้ำอัดลม มักให้แคลอรี่สูงแต่ให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพน้อย การดื่มน้ำอัดลมบ่อย ๆ จึงเสี่ยงทำให้ลูกได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน หรือได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไป เช่น คาร์โบไฮเดรต ทั้งยังอาจทำให้ร่างกายสะสมแคลอรี่เอาไว้มากขึ้น หากลูกไม่ได้ทำกิจกรรมที่ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ส่วนเกิน ก็อาจทำให้น้ำหนักขึ้น หรือเสี่ยงเกิดโรคอ้วนตั้งแต่อายุยังน้อย
เสี่ยงฟันผุ
น้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง หากคุณพ่อคุณแม่ไม่คอยดูแลให้เด็ก ๆ ดื่มน้ำอัดลมในปริมาณที่เหมาะสม และแปรงฟันหลังรับประทานอาหารและดื่มน้ำอัดลม ทำให้มีน้ำตาลสะสมตามผิวฟัน และนำไปสู่ปัญหาสุขภาพช่องปากอย่างฟันผุได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเด็กดื่มน้ำอัดลมในมื้อเย็นแล้วไม่แปรงฟัน ก็จะยิ่งเสี่ยงต่อฟันผุมากขึ้นไปอีก
เสี่ยงเกิดปัญหาในกระเพาะอาหาร
น้ำอัดลมนอกจากจะให้น้ำตาลสูงแล้ว ยังมีกรดจำพวกกรดคาร์บอนิก (Carbonic acid) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้น้ำอัดลมซ่า มีฟอง และมีรสออกเปรี้ยว แต่กรดชนิดนี้มีฤทธิ์กัดกร่อน หากลูกติดน้ำอัดลมและดื่มน้ำอัดลมบ่อย ๆ กรดคาร์บอนิกอาจทำให้จะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร จนกระเพาะอาหารอักเสบ ทั้งยังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคลำไส้อักเสบได้ด้วย
เสี่ยงเกิดภาวะกระดูกพรุน
น้ำอัดลมมีกรดฟอสฟอริก (Phosphoric acid) ซึ่งหากดื่มบ่อย ๆ เกิดการสะสมในร่างกายมากเกินไป จะเสี่ยงทำให้แคลเซียมในมวลกระดูกสูญสลาย ในระยะยาวอาจทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้
วิธีรับมือเมื่อ ลูกติดน้ำอัดลม
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของเด็ก ๆ ดังต่อไปนี้ อาจมีส่วนช่วยแก้ปัญหาลูกติดน้ำอัดลมได้
ลดปริมาณการดื่มน้ำอัดลม
การลดปริมาณการดื่มน้ำอัดลมของลูกลงทีละนิด โดยไม่ห้ามหรือหักดิบจนเกินไป อาจช่วยให้ลูกเลิกติดน้ำอัดลมได้ คุณพ่อคุณแม่ควรค่อย ๆ ลดปริมาณการดื่มน้ำอัดลมของลูกลงให้เหลือวันละครั้ง สองวันครั้ง หรือสามวันครั้ง จนลูกสามารถเว้นระยะห่างในการดื่มน้ำอัดลมหรือไม่ดื่มน้ำอัดลมเลยได้ในที่สุด โดยปริมาณน้ำอัดลมที่แนะนำต่อวันคือ ไม่เกิน 200-350 มิลลิลิตร (8-12 ออนซ์)
ให้ลูกดื่มน้ำเปล่าบ่อยขึ้น
คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกเลือกน้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มในการดับกระหาย แม้ว่าน้ำเปล่าจะไม่ให้รสชาติหรือความซ่าเหมือนกับน้ำอัดลม แต่ก็เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนช่วยรักษาสมดุลและกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายได้ดีกว่าน้ำอัดลม
ให้ลูกดื่มนม
การให้ลูกดื่มนมแทนน้ำอัดลมอาจช่วยให้ลูกเลิกติดน้ำอัดลมได้ โดยคุณพ่อคุณแม่อาจให้ลูกพกนมกล่องติดตัวไว้ เมื่อรู้สึกอยากดื่มเครื่องดื่มขึ้นมา ก็ให้ดื่มนมที่เตรียมไว้แทน อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ดีต่อสุขภาพของลูก ควรเลือกนมที่ไม่มีน้ำตาล หรือมีน้ำตาลน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกได้รับน้ำตาลจากเครื่องดื่มมากเกินไป
ให้ลูกดื่มน้ำผลไม้คั้นสด
น้ำผลไม้คั้นสดมีความหวานจากธรรมชาติ อาจช่วยให้ลูกดื่มได้ง่ายกว่าน้ำเปล่าหรือนม อย่างไรก็ตาม ควรเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เพิ่มน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมมากเกินไป หรือไม่ควรเพิ่มสารให้ความหวานอื่น ๆ เลย เพราะน้ำตาลธรรมชาติที่มีอยู่ในผลไม้ก็เพียงพอที่จะทำให้สัมผัสได้ถึงความหวานแล้ว
พกขวดน้ำ
เพื่อให้ลูกสามารถงดการดื่มน้ำอัดลมได้ง่ายขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจฝึกให้เด็กพกขวดน้ำส่วนตัว ยิ่งหากขวดน้ำมีลวดลายที่ลูกชอบ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่ลูกจะหยิบขวดน้ำมาดื่มบ่อย ๆ วิธีนี้อาจช่วยให้เด็กดื่มน้ำเปล่าได้มากขึ้น และลดการดื่มน้ำอัดลมลง
ให้รางวัลที่เหมาะสม
เพื่อให้เป้าหมายในการเลิกดื่มน้ำอัดลมดูมีแรงจูงใจมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจกำหนดรางวัลความสำเร็จไว้กระตุ้นให้ลูกอยากเลิกดื่มน้ำอัดลมได้ไว ๆ เช่น ถ้าสัปดาห์นี้ดื่มน้ำอัดลมแค่เพียงครั้งเดียว จะพาไปสวนสนุก หรือถ้าสัปดาห์นี้ไม่ดื่มน้ำอัดลมเลย จะซื้อของเล่นที่ชอบให้ การให้รางวัลเมื่อเด็กทำเป้าหมายสำเร็จ มีส่วนช่วยผลักดันให้เด็กต้องการทำสิ่งต่าง ๆ ให้บรรลุได้ อย่างไรก็ตาม ควรเริ่มจากกรอบเวลาสั้น ๆ เช่น สามวัน หรือหนึ่งสัปดาห์ แล้วค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาให้นานขึ้น จนกระทั่งเด็กดื่มน้ำอัดลมได้น้อยลง ไม่ดื่มเลย หรือไม่กลับไป ติดน้ำอัดลม อีกแล้ว