ไพรมาควิน (Primaquine) ใช้ร่วมกับยาตัวอื่นเพื่อป้องกันและรักษามาลาเรีย ยาจะฆ่าเชื้อมาลาเรียที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อร่างกาย และช่วยป้องกันการติดเชื้อกลับมา
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ
ไพรมาควิน (Primaquine) ใช้ร่วมกับยาตัวอื่นเพื่อป้องกันและรักษามาลาเรีย ยาจะฆ่าเชื้อมาลาเรียที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อร่างกาย และช่วยป้องกันการติดเชื้อกลับมา
ยาไพรมาควิน (Primaquine) ใช้ร่วมกับยาอื่นเพื่อป้องกันและรักษาโรคมาลาเรีย (malaria) ที่เกิดจากยุงกัดในประเทศที่พบโรคมาลาเรียได้มาก เชื้อปรสิตมาลาเรียนั้นสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางรอยยุงกัด และจะอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกาย เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดงหรือตับ ยาไพรมาควินใช้หลังจากที่ยาอื่น เช่น ยาคลอโรควีน (chloroquine) ได้ฆ่าเชื้อปรสิตมาลาเรียที่อาศัยอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดงไปแล้ว ยาไพรมาควินจะฆ่าเชื้อปรสิตมาลาเรียที่อยู่ในเนื้อเยื่อส่วนอื่นของร่างกายช่วยป้องกันไม่ให้กลับมาติดเชื้ออีกครั้ง ต้องใช้ยาทั้งสองชนิดเพื่อการรักษาอย่างสมบูรณ์ ยาไพรมาควินฟอสเฟตอยู่ในกลุ่มของยาต้านมาลาเรีย (antimalarials)
รับประทานยานี้ โดยปกติคือวันละครั้งพร้อมกับอาหารเพื่อป้องกันอาการท้องไส้ปั่นป่วน หรือรับประทานตามที่แพทย์กำหนด ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ยาไพรมาควินมักจะใช้เป็นเวลา 2 สัปดาห์หลังจากออกจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงแล้ว เริ่มต้นใช้ยาในช่วง 1-2 สัปดาห์สุดท้ายหลังจากที่ใช้ยารักษาโรคมาลาเรียอื่นหรือทันทีหลังจากที่คุณเสร็จสิ้นการรักษาด้วยยาอื่น ไม่ควรใช้ยาไพรมาควินนานกว่า 14 วันในการรักษาโรคมาลาเรีย
ขนาดยาขึ้นอยู่กับประเภทของการติดเชื้อและการตอบสนองต่อการรักษา ควรใช้ยานี้เป็นประจำ เพื่อให้ง่ายต่อการจำควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
คุณควรจะใช้ยาตามที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด อย่าใช้มากกว่าหรือน้อยกว่าที่กำหนด อย่าหยุดใช้ยานี้ก่อนครบกำหนดการรักษาแม้ว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นแล้ว เว้นเสียแต่ว่าแพทย์จะสั่งให้ทำเช่นนั้น การข้ามหรือเปลี่ยนขนาดยาโดยไม่ได้รับการยินยอมจากแพทย์อาจทำให้การป้องกันหรือรักษาไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ปริมาณของเชื้อปรสิตเพิ่มขึ้น ทำให้การติดเชื้อรักษาได้ยากขึ้น (ดื้อยา) หรือทำให้ผลข้างเคียงรุนแรงขึ้น
คุณควรจะป้องกันตัวไม่ให้ยุงกัด (เช่นใช้ยาไล่แมลงที่เหมาะสม สวมเสื้อผ้าป้องกันที่ปิดคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของร่างกาย อยู่ในห้องแอร์หรือบริเวณที่ได้รับการตรวจสอบมาดีแล้ว ใช้มุ้งกันยุง ใช้สเปย์ฆ่าแมลง) ควรซื้อยาไล่แมลงก่อนเดินทาง ยาไล่แมลงที่ได้ผลดีที่สุดต้องมีส่วนผสมของ สารดีท (diethyltoluamide – DEET) โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับความแรงของยาไล่ยุงที่เหมาะสมกับคุณหรือลูกของคุณ
ไม่มีการรักษาด้วยยาใดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมาลาเรียโดยสมบูรณ์ ดังนั้นจึงควรรับการรักษาในทันทีหากมีอาการของโรคมาลาเรียเกิดขึ้น เช่น เป็นไข้ หนาวสั่น ปวดหัว มีอาการคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่อื่นๆ โดยเฉพาะหากอยู่ในบริเวณที่มีความเสี่ยงโรคมาลาเรียแม้ว่าจะใช้ยานี้ครบกำหนดแล้ว การรักษาการติดเชื้อมาลาเรียอย่างรวดเร็วจะช่วยป้องกันผลที่รุนแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้
เมื่อใช้ยาไพรมาควินฟอสเฟตเพื่อรักษาการติดเชื้อ โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่หายไปหรือแย่ลง
ยาไพรมาควินควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาไพรมาควินบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาไพรมาควินลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูก สอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ก่อนใช้ยาไพรมาควิน แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนประกอบไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่นโรคลูปัส (lupus) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) ปัญหาเกี่ยวกับเลือด เช่นจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวต่ำ โรคโลหิตจาง เคยมีปัญหาเกี่ยวกับเลือดเนื่องจากยาไพรมาควิน เช่นภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก (hemolytic anemia) ภาวะเมทฮีโมโกลบินในเลือด (methemoglobinemia) โรคฟาวิสม์ (favism) ระดับเอ็นไซม์ในเลือดบางชนิดต่ำ เช่นเอ็นไซม์จี6พีดี (glucose-6-phosphate dehydrogenase-G6PD) เอ็นไซม์เอ็นเอดีเอชเมททีโมโกลบินรีดัคเตส (NADH methemoglobin reductase)
แพทย์อาจจะสั่งให้คุณทำการตรวจเลือดเพื่อดูว่าคุณมีภาวะขาดเอ็นไซม์หรือไม่ก่อนเริ่มใช้ยาไพรมาควิน
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกัญชานั้นอาจทำให้อาการวิงเวียนรุนแรงขึ้นได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวจนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย จำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และปรึกษาแพทย์หากคุณใช้กัญชา
ยาไพรมาควินอาจทำให้เกิดสภาวะที่ส่งผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจ อย่างระยะคิวทียาว (QT prolongation) ในนานๆครั้งอาการระยะคิวทียาวนี้อาจทำใให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกที่รุนแรง จนอาจถึงแก่ชีวิต และอาการอื่นๆ เช่น วิงเวียนอย่างรุนแรงหรือหมดสติ และจำเป็นต้องรับการรักษาในทันที
ความเสี่ยงในการเกิดระยะคิวทียาวนั้นอาจเพิ่มขึ้นหากคุณมีสภาวะหรือใช้ยาที่อาจทำให้เกิดอาการนี้ได้ ก่อนใช้ยานี้โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ และหากคุณมีสภาวะดังต่อไปนี้ ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจบางอย่าง เช่นหัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นช้า ระยะคิวทียาวในการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (QT prolongation in the EKG) คนวนครอบครัวเคยมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจบางอย่าง เช่นระยะคิวทียาวในการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือหัวใจตายฉับพลัน (sudden cardiac death)
ระดับของโพแทสเซียมหรือแมกนีเซียมในเลือดต่ำยังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดระยะคิวทียาวได้อีกด้วย ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นหากคุณกำลังใช้ยาบางอย่าง เช่นยาขับปัสสาวะ/ยาขับน้ำ หรือหากคุณมีสภาวะเช่น เหงื่อออกมาก ท้องร่วง หรืออาเจียน ปรึกษากับแพทย์ถึงวิธีการใช้ยานี้อย่างปลอดภัย
ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ)
ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะระยะคิวทียาว (อ่านด้านบน)
ห้ามใช้ยานี้ระหว่างการตั้งครรภ์เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ควรตรวจครรภ์ก่อนเริ่มใช้ยา ควรป้องกันการตั้งครรภ์ระหว่างที่ใช้ยานี้ ทั้งชายและหญิงระต้องใช้การคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้ระหว่างการรักษา (เช่นถุงยางอนามัย ยาคุมกำเนิด) ผู้ชายควรคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 3 เดือนหลังจากเสร็จสิ้จการรักษา ผู้หญิงควรคุมกำเนิดต่อไปอีกอย่างน้อย 1 รอบประจำเดือนหลังจากเสร็จสิ้นการรักษา หากคุณตั้งครรภ์หรือคาดว่าอาจจะตั้งครรภ์โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันที ขณะตั้งครรภ์นั้นการเดินทางไปยังบริเวณที่เสี่ยงเป็นโรคมาลาเรียจะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตและปัญหาอื่นๆ ต่อคุณและลูก ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อ (CDC) แนะนำให้ใช้ยารักษาโรคมาลาเรียอื่นๆ ต่อไป (เช่นยาคลอโรควีน) ตลอดการตั้งครรภ์จนถึงคลอดบุตรเพื่อป้องกันอันตรายต่อทารกในครรภ์ (เช่นภาวะโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก) หลังจากคลอดบุตรแล้วคุณสามารถกลับมาใช้ยาไพรมาควินจนครบกำหนด โปรดปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยา
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายานี้สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้หรือไม่และยังไม่ทราบผลต่อทารก แพทย์ควรทำการตรวจหาภาวะขาดเอ็นไซม์จี6พีดีก่อนให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
ยาไพรมาควินจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด N โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
อาจเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน ท้องไส้ปั่นป่วน และปวดท้อง หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้นโปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที
โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่หายากแต่รุนแรงดังนี้ สัญญาณของการติดเชื้อที่รุนแรง (เช่นเป็นไข้สูง หนาวสั่นอย่างรุนแรง เจ็บคอเรื้อรัง) สัญญาณของการสูญเสียเม็ดเลือดแดงเฉียบพลัน (เช่นเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง ปัสสาวะสีน้ำตาล ริมฝีปาก เล็บ หรือผิวซีด หัวใจเต้นเร็วหรือหายใจเร็วจากการทำกิจกรรมตามปกติ) สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับเลือดบางชนิด (เช่นภาวะเมทฮีโมโกลบินในเลือด ทั้งผิวหนัง ริมฝีปาก หรือเล็บเป็นสีน้ำเงิน ปวดหัว หายใจติดขัด วิงเวียน อ่อนแรง สับสน ปวดหน้าอก หัวใจเต้นรัวกะทันหัน)
รับการรักษาในทันทีหากเกิดอาการที่หายากแต่รุนแรงดังนี้ อาการหัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติอย่างรุนแรง วิงเวียนอย่างรุนแรง หมดสติ
การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้ ผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้อาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ยาที่อาจจะมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่ ยาเพนิซิลลามีน (penicillamine) ยาควินาครีน (quinacrine) ยาที่อาจจะลดจำนวนเซลล์เม็ดเลือด เช่นยาไทรเมโทพริม (trimethoprim) ยาซิโดวูดีน (zidovudine) ยาไพริเมทามีน (pyrimethamine) หรือยาอะซาไทโอพรีน (azathioprine)
ยาไพรมาควินอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ยาไพรมาควินอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ยาไพรมาควินอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคมาลาเรีย
คำแนะนำจากผู้ผลิตคือ 15 มก. เบส (เกลือ 26.3 มก.) รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 14 วัน
คำแนะนำ
การใช้งาน
เพื่อใช้เป็นการรักษาแบบให้หายขาด (ป้องกันการกำเริบ) สำหรับโรคมาลาเรียเนื่องจากเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์ (Plasmodium vivax)
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา (US CDC) 30 มก. เบส (เกลือ 52.6 มก.) รับประทานหนึ่งครั้งเป็นเวลา 14 วัน
อีกทางเลือกหนึ่งคือ 45 มก. เบส (เกลือ 78.9 มก. ) รับประทานสัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์
คำแนะนำ
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อป้องกันโรคมาลาเรีย
คำแนะนำจากผู้ผลิตคือ 15 มก. เบส (เกลือ 26.3 มก.) รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 14 วัน
คำแนะนำ แนะนำให้ใช้เป็นการรักษาแบบให้หายขาดสำหรับโรคมาลาเรียชนิดไวแวกซ์ ป้องกันไม่ให้โรคมาลาเรียชนิดไวแวกซ์กำเริบ หรือใช้หลังจากเสร็จสิ้นการรักษากดอาการโดยใช้ยาคลอโรควีนฟอสเฟตในบริเวณที่พบโรคมาลาเรียได้ทั่วไป
การใช้งาน เพื่อใช้เป็นการรักษาแบบให้หายขาด (ป้องกันการกำเริบ) สำหรับโรคมาลาเรียเนื่องจากเชื้อพาสโมเดียมไวแวกซ์
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา 30 มก. เบส (เกลือ 52.6 มก.) รับประทานหนึ่งครั้ง
คำแนะนำ
เมื่อใช้สำหรับการป้องกันโรคปฐมภูมิ
เมื่อใช้สำหรับการป้องกันโรคในภายหลัง (terminal prophylaxis) (การป้องกันอาการกำเริบจากการสันนิษฐาน [presumptive antirelapse therapy])
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติส (Pneumocystis Pneumonia)
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) และสมาคมแพทย์ด้านเชื้อเอชไอวี/สมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (HIVMA/IDSA) เพื่อรักษาในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี 30 มก. เบส (เกลือ 52.6 มก.) รับประทานวันละครั้ง
ระยะเวลาการรักษา 21 วัน
คำแนะนำ
ใช้ร่วมกับยาคลินดามัยซิน (clindamycin) ควรใช้เป็นสูตรทางเลือกสำหรับการรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติสระดับเบาถึงปานกลาง และโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติสระดับปานกลางถึงรุนแรง
คำแนะนำอื่นๆ
การเก็บรักษา
เก็บไว้ในขวดที่ปิดสนิท เก็บให้พ้นจากแสง
ทั่วไป
การเฝ้าระวัง
เลือด ควรตรวจเลือดเป็นประจำ โดยเฉพาะจำนวนเม็ดเลือดและค่าฮีโมโกลบิน (ระหว่างการรักษา)
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคมาลาเรีย
คำแนะนำจากผู้ผลิตคือ 0.5 มก./กก. เบส (เกลือ 0.8 มก./กก.)รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 14 วัน
ขนาดยาสูงสุด 30 มก. เบส/ครั้ง
คำแนะนำ
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อป้องกันโรคมาลาเรีย
คำแนะนำจากผู้ผลิตคือ 0.5 มก./กก. เบส (เกลือ 0.8 มก./กก.)รับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 14 วัน
ขนาดยาสูงสุด 30 มก. เบส/ครั้ง
คำแนะนำ
เมื่อใช้สำหรับการป้องกันโรคปฐมภูมิ
เมื่อใช้สำหรับการป้องกันโรคในภายหลัง (การป้องกันอาการกำเริบจากการสันนิษฐาน)
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติส
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา สถาบันสุขภาพแห่งชาติ สมาคมแพทย์ด้านเชื้อเอชไอวี/สมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา สมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก (PIDS) และสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (AAP) สำหรับผู้ป่วยเด็กที่เปิดรับเชื้อเอชไอวีและติดเชื้อเอชไอวี 0.3 มก./กก. เบส (เกลือ 0.526 มก./กก.) รับประทานวันละครั้ง
ขนาดยาสูงสุด 30 มก. เบส/ครั้ง
คำแนะนำจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และสมาคมแพทย์ด้านเชื้อเอชไอวี/สมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อรักษาในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี 30 มก. เบส (เกลือ 52.6 มก.) รับประทานวันละครั้ง
ระยะเวลาการรักษา 21 วัน
คำแนะนำ
ใช้ร่วมกับยาคลินดามัยซิน ควรใช้เป็นสูตรทางเลือกสำหรับการรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติสระดับเบาถึงปานกลาง (เด็กและวัยรุ่น) และโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมซิสติสระดับปานกลางถึงรุนแรง (วัยรุ่น)
ไม่มีข้อมูลสำหรับเด็ก ขนาดยาขึ้นอยู่กับการใช้ยาเหล่านี้เพื่อรักษาการติดเชื้ออื่นๆ
ขนาดและรูปแบบของยามีดังนี้
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย
ทีม Hello คุณหมอ
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย