คันช่องคลอด อาจมาพร้อมกับอาการระคายเคือง แสบ ร้อน หรือมีสารคัดหลั่ง เช่น ตกขาวที่ผิดปกติร่วมด้วย ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียจากการที่สมดุลของความเป็นกรดในช่องคลอดเสียไป วัยหมดประจำเดือน การติดเชื้อรา หรือการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติไป ซึ่งอาการคันช่องคลอดที่มีความรุนแรงจนถึงขั้นรบกวนการใช้ชีวิต จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง และการรักษานั้นมีหลายวิธีขึ้นกับสาเหตุว่าเกิดจากอะไร ดังนั้น การได้รับการตรวจโดยการตรวจภายในจะทำให้สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจน และนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม อีกทั้งสามารถป้องกันการเกิดซ้ำได้ดีขึ้น
[embed-health-tool-ovulation]
คันช่องคลอด เกิดจากสาเหตุใด
อาการคันช่องคลอดอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
-
ความไม่สมดุลของภาวะความเป็นกรดด่างในช่องคลอด
ตามปกติภายในช่องคลอดจะมีแบคทีเรียประจำถิ่น (Normal flora) ชื่อ แลคโตบาซิลไล (Lactobacilli) อาศัยอยู่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นภาวะที่ปกติ โดยที่แบคทีเรียชนิดนี้จะทำให้ช่องคลอดมีภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ แต่หากแบคทีเรียชนิดนี้มีจำนวนลดลง จะทำให้ความเป็นกรดด่างของช่องคลอดเสียสมดุลไป และทำให้แบคทีเรียชนิดอื่น ๆ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลของการเพิ่มขึ้นของแบคทีเรียเหล่านี้ จะทำให้เกิดการอักเสบของคลอดเกิดขึ้น ทำให้มีอาการคัน อักเสบ แสบร้อน และตกขาวมีกลิ่นเหม็น
อาจมีทั้งโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น เริมที่อวัยวะเพศ หูดหงอนไก่ เอดส์ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส หรือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิ (Trichomonas) เชื้อราแคนดิดา (Candida) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองและคันช่องคลอดหรือปากช่องคลอดได้
-
วัยหมดประจำเดือน
รังไข่จะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้เยื่อบุผนังช่องคลอดบางลง แห้ง และขาดสารคัดหลั่งที่ทำให้เกิดความชุ่มชื้น ทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองได้
-
การติดเชื้อรา
เกิดขึ้นเมื่อเชื้อราแคนดิดาเจริญเติบโตในช่องคลอดมากเกินไป ซึ่งมีหลายปัจจัยส่งเสริม เช่น การตั้งครรภ์ การมีเพศสัมพันธ์ การใช้ยาปฏิชีวนะ การมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ส่งผลทำให้มีอาการคัน ตกขาวมากขึ้น ตกขาวมีสีขาวข้น สีเหลือง สีเขียวและมีกลิ่นเหม็น
-
สารระคายเคืองทางเคมี
เช่น ถุงยางอนามัย น้ำยาซักผ้า สบู่ กระดาษชำระที่มีน้ำหอม รวมถึงการสวนล้างช่องคลอดด้วยสบู่ สามารถสร้างความระคายเคืองและทำให้เกิดอาการคันช่องคลอดได้
-
โรคไลเคนสเคลโรซัส (Lichen sclerosus)
เป็นภาวะที่พบไม่บ่อย มีลักษณะเป็นหย่อมสีขาวเกิดขึ้นบนผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณช่องคลอด อาจทำให้เกิดแผลเป็นและอาการคันได้ พบบ่อยในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
การรักษาอาการคันช่องคลอด
การระคายเคืองที่ทำให้เกิดอาการคันช่องคลอดมักจะดีขึ้นโดยไม่ต้องรักษา แต่หากมีอาการรุนแรงขึ้น หรือกลับมาเป็นซ้ำบ่อยครั้ง ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อหาสาเหตุหลักของอาการ วิธีรักษาอาการคันช่องคลอดอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค ดังนี้
- การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด คุณหมออาจให้ยารับประทานในกลุ่มเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เป็นยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ควรรับประทานหลังอาหารทันที เนื่องจากอาจทำให้คลื่นไส้อาเจียน และควรใช้ยาให้ครบตามที่กำหนดเพื่อป้องกันการดื้อยา
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คุณหมอจะทำการรักษาตามโรคที่เป็น เช่น ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาโรคหนองใน ใช้ยาต้านไวรัสเพื่อรักษาโรคเริม ใช้ยาแก้พยาธิเพื่อรักษาการติดเชื้อพยาธิ โดยต้องรับประทานยาอย่างเคร่งครัด และงดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าการติดเชื้อหรือโรคจะหายไป โรคบางโรค เช่น โรคเอดส์ โรคเริม อาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงแค่บรรเทาอาการ และควบคุมไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น
- วัยหมดประจำเดือน คุณหมออาจรักษาด้วยยาฮอร์โมนเอสโตรเจน รูปแบบยาเม็ด หรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์สำหรับใช้ทาในช่องคลอดเพื่อช่วยบรรเทาอาการช่องคลอดแห้งและอาการคัน
- การติดเชื้อยีสต์ คุณหมอมักรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา โดยจะใช้ยารูปแบบครีม ขี้ผึ้ง หรือยาเหน็บสอดเข้าไปในช่องคลอด หรืออาจเป็นรูปแบบของยารับประทาน ยาเหล่านี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่หากการติดเชื้อรารุนแรงขึ้นหรือไม่หายไปควรไปพบคุณหมอเพื่อรับยาที่มีฤทธิ์แรงขึ้น และหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น การติดเชื้อราดื้อยา ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
- สารระคายเคืองทางเคมี เพื่อหลีกเลี่ยงอาการคันช่องคลอดจากสารเคมีในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นสูตรอ่อนโยน ไม่มีน้ำหอม หรือผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศโดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงการสวนล้างเพราะอาจทำลายความสมดุลของแบคทีเรียดีในช่องคลอด ทำให้ช่องคลอดติดเชื้อได้ง่าย
- โรคไลเคนสเคลโรซัส สามารถใช้ครีมสเตียรอยด์ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ หรืออาจรับสเตียรอยด์ที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองจากไลเคนสเคลโรซัส
วิธีป้องกันอาการคันช่องคลอด
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการคันช่องคลอด สามารถทำได้ ดังนี้
- ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศภายนอกเป็นประจำ ด้วยน้ำเปล่าหรือสบู่สูตรอ่อนโยน หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดเนื่องจากอาจทำให้ระคายเคืองและเสียความสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอดได้
- เช็ดอวัยวะเพศให้แห้งเสมอ โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังเพื่อลดโอกาสที่เชื้อแบคทีเรียหรือสิ่งสกปรกเข้าสู่ช่องคลอด
- สวมกางเกงผ้าฝ้ายหรือผ้าที่ระบายอาการดี ไม่อับชื้น และไม่คับแน่นจนเกินไป และควรเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน
- หลีกเลี่ยงการใช้กระดาษชำระที่มีน้ำหอม และหลีกเลี่ยงการทาครีมหรือแป้งในบริเวณอวัยวะเพศ
- หลีกเลี่ยงการเกาเพราะอาจทำให้บริเวณอวัยวะเพศระคายเคืองได้
- ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์เพื่อช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าอาการคันช่องคลอดหรือโรคจะดีขึ้น
- หากมีภาวะช่องคลอดแห้งอาจใช้มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับช่องคลอดทาในช่องคลอด และก่อนมีเพศสัมพันธ์ให้ใช้เจลหล่อลื่นที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นมากขึ้น