โดยปกติแล้ว ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์จะมีประจำเดือนทุก ๆ 21-35 วัน แต่หากสังเกตพบว่า มีเลือดออกจากช่องคลอด แต่ ไม่ใช่ ประจําเดือนสี น้ำ ตาล อาจมีสาเหตุมาจากปัญหาทางสุขภาพบางประการ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคปากมดลูกอักเสบ โรคช่องคลอดอักเสบ ภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก จึงควรเข้ารับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แน่ชัด และรับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันอันตรายต่อชีวิต
[embed-health-tool-ovulation]
มีเลือดออกจากช่องคลอด แต่ ไม่ใช่ ประจําเดือนสี น้ำ ตาล เกิดจากอะไร และรักษาอย่างไร
สาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกจากช่องคลอด แต่ ไม่ใช่ ประจําเดือนสี น้ำ ตาล อาจมีดังนี้
1. โรคหนองในแท้
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียผ่านทางทวารหนัก ช่องคลอด และชปาก ส่งผลให้มีอาการปวดท้อง เลือดออกทางช่องคลอด มีตกขาวสีเหลือง แสบร้อนอวัยวะเพศเมื่อปัสสาวะ คันช่องคลอด เป็นต้น
วิธีรักษาโรคหนองในแท้
คุณหมออาจให้ยาปฏิชีวนะในรูปแบบฉีดหรือยาเม็ดเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคหนองในอาจจำเป็นต้องรับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันเชื้อแพร่กระจายไปสู่ทารกระหว่างคลอด
2. โรคหนองในเทียม
เกิดจากการติดเชื้อของแบคทีเรียคลาไมเดีย (Chlamydia trachomatis) ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน สัญญาณที่บ่งบอกว่ากำลังเป็นโรคหนองในเทียม คือ มีตกขาว มีเลือดออกทางช่องคลอดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เจ็บอวัยวะเพศขณะถ่ายปัสสาวะและมีเพศสัมพันธ์
วิธีรักษาโรคหนองในเทียม
โรคหนองในเทียมอาจรักษาด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยอาจต้องรับประทานยาเพียงครั้งเดียว หรือรับประทานยาติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 5-10 วัน โดยทั่วไป โรคหนองในเทียมอาจหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์หลังรักษา ทั้งนี้ ในช่วงที่รักษาโรค ควรงดมีเพศสัมพันธ์จนจะกว่าคุณหมอจะอนุญาต
3. โรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ
การติดเชื้อแบคทีเรียภายในระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงแล้วเชื้อแพร่กระจายจากช่องคลอดไปยังมดลูก ท่อน้ำไข่ และรังไข่ ส่งผลให้มีอาการเลือดออกผิดปกติ เจ็บแสบขณะถ่ายปัสสาวะ มีตกขาวมีกลิ่น ปวดท้องส่วนล่างและกระดูกเชิงกราน
วิธีรักษาโรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ
- ยาปฎิชีวะนะ เพื่อช่วยลดจำนวนเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ คุณหมออาจให้เริ่มใช้ทันทีหลังจากทราบผลการตรวจ และอาจติดตามผลลัพธ์หลังจากรับประทานยาประมาณ 3 วัน เพื่อตรวจสอบว่ายาได้ผลหรือไม่
- งดมีเพศสัมพันธ์ ระหว่างรักษา ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือคุณหมอจะอนุญาต
4. โรควอนวิลลิแบรนด์ (Von Willebrand)
โรคเลือดออกง่ายเป็นโรคทางพันธุกรรมที่หายาก ซึ่งอาจส่งผลให้มีเลือดออกนานกว่าปกติหากมีบาดแผลหรือมีเลือดไหล
วิธีรักษาโรควอนวิลลิแบรนด์
การรักษาโรควอนวิลลิแบรนด์อาจขึ้นอยู่กับการอาการของโรค โดยคุณหมออาจเลือกใช้วิธีการรักษาด้วยการใช้ยาต่าง ๆ เช่น เดสโมเพรสซิน (Desmopressin) ยาต้านการสลายลิ่มเลือด ยาคุมกำเนิด
5. ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
เกิดจากการทำงานของต่อมไร้ท่อและการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนผิดปกติ ฮอร์โมนแอนโดรเจนเป็นเพศชาย เมื่อมีมากเกินไปจะส่งผลให้มีซีสต์หรือถุงน้ำขนาดเล็กจำนวนมากในรังไข่ และทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ประจำเดือนขาด มีขนบริเวณหน้าอก ท้อง หลังเหมือนผู้ชาย สิวขึ้น ศีรษะล้าน มีบุตรยาก
ผู้หญิงที่เป็นถุงน้ำรังไข่หลายใบ อาจส่งผลให้ร่างกายดื้ออินซูลิน ทำให้ไม่สามารถดึงอินซูลินมาใช้เปลี่ยนน้ำตาลหรือกลูโคสจากอาหารเป็นพลังงานได้ จนเกิดการสะสมน้ำตาลในเลือดและนำไปสู่โรคเบาหวาน
วิธีรักษาภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ
- สำหรับผู้ที่วางแผนตั้งครรภ์ ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อรับยาที่ทำให้ไข่ตก และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายดึงอินซูลินมาใช้งานได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและอาจช่วยให้ไข่ตกได้
- สำหรับผู้ที่ไม่ได้วางแผนตั้งครรภ์ อาจใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อลดระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน หรือใช้ยาควบคุมเบาหวานเพื่อลดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งอาจช่วยให้ไข่ตกสม่ำเสมอขึ้น นอกจากนี้ ยังควรเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงด้วย
6. โรคมะเร็งปากมดลูก
โรคมะเร็งที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ปากมดลูก ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papilloma Virus หรือ HPV) ที่อาจได้รับผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หากไม่เร่งรักษา ไวรัสชนิดนี้อาจส่งผลให้เซลล์ปากมดลูกกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีคู่นอนหลายคน หรือมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ดังนั้น หากสังเกตว่ามีตกขาวปนเลือด ปวดอุ้งเชิงกราน เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกทางช่องคลอด ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุโดยเร็วที่สุด
วิธีรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก
- การผ่าตัด การผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกมีหลายชนิด เช่น การตัดเฉพาะปากมดลูก การตัดปากมดลูกและมดลูกออกทั้งหมด เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำ
- การฉายรังสีหรือการฉายแสง เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง ส่วนใหญ่มักใช้ควบคู่กับการรักษาแบบเคมีบำบัดหลังการผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งมดลูกระยะลุกลาม โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงการเกิดเซลล์มะเร็งอีกครั้ง
- เคมีบำบัด การรักษาด้วยยาเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยคุณหมออาจให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำ หรือให้ยาชนิดรับประทาน ผู้ป่วยโรคมะเร็งปาดมดลูกระยะลุกลามอาจจำเป็นต้องทำเคมีบำบัดควบคู่กับการฉายรังสี เพื่อควบคุมอาการของโรค
- ภูมิคุ้มกันบำบัด คุณหมออาจให้ยาที่ช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ เป็นวิธีที่ใช้ต่อเมื่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ไม่ได้ผล
7. โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
อาจเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเปลี่ยนแปลงจนเสียสมดุล เยื่อบุโพรงมดลูกเปลี่ยนแปลงจนเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดปกติและกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งสังเกตได้จากอาการเลือดออกทางช่องคลอด และอาการปวดกระดูกเชิงกราน
วิธีรักษาโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
การรักษาโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกอาจทำได้โดยการผ่าตัดเอามดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ออก ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ในอนาคต และอาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการฉายรังสีควบคู่กับเคมีบำบัดก่อนการผ่าตัดเพื่อลดขนาดเนื้องอก หรือฉายรังสีหลังการผ่าตัดเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ และป้องกันการเป็นซ้ำ
นอกจากนี้ สำหรับผู้ป่วยป่วยโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกระยะลุกลาม คุณหมออาจรักษาด้วยยาลดระดับฮอร์โมนในร่างกายเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง หรือรักษาด้วยยาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) และภูมิคุ้มกันบำบัดเพื่อช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง
8. โรคมะเร็งช่องคลอด
เป็นโรคมะเร็งที่พบได้ยาก อาจเกิดจากจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีที่ส่งผลให้เซลล์เยื่อบุผิวในช่องคลอดผิดปกติและกลายเป็นเนื้องอก ในระยะแรก โรคนี้อาจส่งผลให้มีอาการปัสสาวะบ่อย เจ็บแสบอวัยวะเพศขณะปัสสาวะ ท้องผูก ปวดกระดูกเชิงกราน และมีเลือดออกทางช่องคลอด
วิธีรักษาโรคมะเร็งช่องคลอด
- การผ่าตัด คุณหมออาจเลือกวิธีการผ่าตัดแบบผ่าตัดเอาแค่ส่วนที่พบเซลล์มะเร็งออก หรือผ่าตัดกำจัดอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน เช่น กระเพาะปัสสาวะ รังไข่ มดลูก ช่องคลอดทั้งหมด หากเซลล์มะเร็งมีการลุกลาม ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอและระยะของโรคมะเร็ง
- การฉายรังสี เพื่อช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง อาจใช้ควบคู่กับการทำเคมีบำบัด
9. โรคมะเร็งรังไข่
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าโรคมะเร็งรังไข่เกิดจากสาเหตุใด แต่อาจมีปัจจัยบางอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ เช่น พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของยีน อายุที่มากขึ้น การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนช่วงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งสามารถก่อให้เกิดก้อนเนื้องอกในรังไข่ และอาจทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบหรือลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้
วิธีรักษาโรคมะเร็งรังไข่
- การผ่าตัด รังไข่มี 2 ข้าง คุณหมอจึงอาจพิจารณาจากการลุกลามของมะเร็ง และอาการของผู้ป่วยว่าควรผ่าตัดนำรังไข่ออกแค่ข้างใดข้างหนึ่ง หรือควรผ่าตัดเอารังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องผ่าตัดนำทั้งรังไข่และมดลูดออก เพื่อป้องกันการลุกลาม
- เคมีบำบัด เพื่อช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยอาจใช้ก่อนผ่าตัด หรือหลังการผ่าตัด
- ฮอร์โมนบำบัด โดยการใช้ยาเพื่อช่วยลดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่อาจกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งในรังไข่เจริญเติบโต
- การบำบัดด้วยยาแบบมุ่งเป้า คือการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะซึ่งเป็นวิธีการรักษามะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง และอาจเกิดผลข้างเคียงน้อยกว่าการทำเคมีบำบัด
ปัจจัยที่อาจส่งผลให้มีเลือดออกจากช่องคลอด
นอกจากโรคข้างต้น ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เลือดออกทางช่องคลอด ได้แก่
- เนื้องอกในมดลูก
- ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ
- ภาวะฮอร์โมนแปรปรวน
- กระบวนการการตั้งครรภ์ เมื่อไข่ผสมกับอสุจิจนเกิดการปฏิสนธิและกลายเป็นตัวอ่อนฝังตัวที่ผนังมดลูก อาจทำให้มีเลือดออกจากช่องคลอดเล็กน้อย หรือที่เรียกว่า เลือดล้างหน้าเด็ก
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก การแท้งบุตร
- ภาวะต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ เช่น ภาวะไทรอยด์ต่ำ ไทรอยด์เป็นพิษ
- โรคปากมดลูกอักเสบ โรคช่องคลอดอักเสบ โรคช่องคลอดฝ่อ
- ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
- วัยหมดประจำเดือน
- การมีเพศสัมพันธ์รุนแรง การถูกล่วงละเมิดทางเพศ
- การคุมกำเนิดแบบฝัง แบบฉีด และแบบแผ่นแปะ
- ผลข้างเคียงจากยา เช่น ยาคุมกำเนิด ยาฮอร์โมนบำบัด ยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen)
อาการแบบไหนที่ควรเข้าพบคุณหมอ
หากมีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติร่วมกับมีอาการเหล่านี้ ควรเข้าพบคุณหมอทันที
- วิงเวียนศีรษะ
- เป็นลม
- สีผิวซีดผิดปกติ
- ปวดท้องส่วนล่าง
- เลือดออกทางช่องคลอดต่อเนื่องและบ่อยครั้ง