ผื่นแดง มักเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง อาจเกิดขึ้นเฉพาะส่วนของร่างกาย เช่น ใบหน้า แขน ขา หรืออาจลุกลามทั่วร่างกาย ผื่นแดงมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อย เช่น โรคผิวหนังอักเสบ การติดเชื้อ การแพ้ยา อาจมีอาการคัน ระคายเคือง ผื่นแดงบางชนิดอาจไม่จำเป็นต้องรักษาและสามารถหายเอง อย่างไรก็ตาม หากเป็นขั้นรุนแรงควรปรึกษาคุณหมอ เพื่อรับการรักษาตามอาการที่เหมาะสม
[embed-health-tool-heart-rate]
คำจำกัดความ
ผื่นแดง คืออะไร
ผื่นแดง คือ ลักษณะอาการทางผิวหนังที่เกิดรอยแดง บวม ระคายเคือง บางครั้งอาจมีอาการคัน อาจเกิดขึ้นเฉพาะส่วนของร่างกาย หรืออาจลุกลามเป็นบริเวณกว้างทั่วร่างกาย ผื่นแดงสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ บุคคลที่มีผื่นแดงอาจหายเองได้ อย่างไรก็ตาม บางกรณีอาจต้องรักษาด้วยยาหรือไปพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาตามสาเหตุของการเกิดผื่นแดง
ผื่นแดงพบได้บ่อยแค่ไหน
ผื่นแดงสามารถพบได้ในทุกเพศ ทุกวัย โดยขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทที่พบ เช่น ลมพิษ ส่วนมากพบในผู้ที่แพ้อาหาร หรือสารเคมีบางชนิด อาจสามารถตรวจทดสอบภูมิแพ้ต่าง ๆ ได้จากทางโรงพยาบาล
อาการ
อาการของผื่นแดง
ลักษณะอาการของผื่นแดงอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคลและสาเหตุ โดยอาการอาจมีดังต่อไปนี้
- อาการคัน ระคายเคืองผิวหนัง
- ผิวหนังมีรอยแดง ลักษณะเป็นปื้น
- ผิวแห้งหรือลอกเป็นขุย อาจเกิดจากการเกา
- มีตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ
- ปวดแสบปวดร้อน
ควรพบคุณหมอเมื่อใด
ควรไปพบคุณหมอเพื่อตรวจวินิจฉัยอาการ หากมีอาการดังต่อไปนี้
- ไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
- ใบหน้า แขนและขาบวม
- วิงเวียนศีรษะ หรือรู้สึกปวดคอ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง รวมถึงปวดข้อ
- สีผิวเปลี่ยนแปลง
- อาเจียนหรือท้องเสียต่อเนื่อง
- การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรียง่ายกว่าปกติ รวมถึงมีหนองสะสมมาก
- หายใจลำบาก
สาเหตุ
สาเหตุของผื่นแดง
ผื่นแดงเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้
- สภาพอากาศที่ร้อน ชื้น ทำให้เกิดการสะสมของเหงื่อและอุดตัน เป็นผื่นแดง
- แมลงกัดต่อย แมลงหลายชนิดอาจทำให้เกิดผื่นขึ้นได้เมื่อถูกกัดหรือต่อย เช่น หมัด ไรฝุ่น มักอาศัยอยู่ภายในเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว
- ผลข้างเคียงของการใช้ยาหรืออาการแพ้ยา ระยะแรกเริ่มจะมีสีแดงและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีคล้ำออกม่วง หากมีปฏิกิริยาแพ้ยาที่รุนแรงอาจส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้ เนื่องจากส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจและอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย
- สัมผัสสารเคมีบางชนิด เช่น น้ำยาง ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม สีย้อมผ้า อาจก่อให้เกิดการแพ้ และมีอาการคันป็นผื่นแดง
- อีสุกอีใส เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus) เป็นผื่นคันจุดแดงเล็ก ปรากฎที่ใบหน้าและลำตัว แล้วลามไปทั่วร่างกาย และพัฒนากลายเป็นตุ่มพองใส หลังจาก 48 ชั่วโมง ตุ่มพองจะแห้ง และอาการจะหายภายใน 2-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
- มือ เท้า ปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส มีแผลที่คอ ลิ้น และปาก เวลากลืนอาหารหรือน้ำอาจลำบาก
- แผลพุพอง เป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แผลพุพองสีแดงปรากฏขึ้นบริเวณรอบปากและจมูก หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุน้ำร้อนลวก ไฟไหม้
- โรคฟิฟธ์ (Fifth Disease) เกิดจากการติดเชื้อ parVovirus B19 มักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ โดยจะแสดงอาการออกมาภายใน 4 วัน อาจเกิดรอยแดงที่แขน ลำตัว ผื่นแดงบริเวณแก้ม 2 ข้าง
- กลาก เกลื้อน การติดเชื้อราของผิวหนังส่งผลให้ผิวหนังมีอาการผื่นคัน ลอกเป็นขุย อย่างไรก็ตาม กลากสามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้ โดยการสัมผัสทางผิวหนังกับบุคคลหรือสัตว์ที่ติดเชื้อ
- โรคผิวหนังอักเสบ อาการอักเสบชนิดเรื้อรังที่พบได้ตามบริเวณผิวหนัง เยื่อเมือกบุผิว มีลักษณะตุ่มนูนแบนสีม่วงคล้ำหรือปื้นสีขาวคล้ายลูกไม้บริเวณในปาก ช่องคลอด
- โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วขึ้นก่อตัวเป็นเกล็ดสีเงินหนา ทำให้เกิดอาการคัน ผิวลอก และผื่นแดง
- โรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus) เป็นไวรัสชนิดเดียวกันที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส บริเวณที่พบได้บ่อยคือ แนวบั้นเอว หรืออาจเกิดขึ้นที่ใบหน้า แขนหรือขา
อย่างไรก็ตาม สาเหตุส่วนมากที่ก่อให้เกิดผื่นแดง คือ การติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และผื่นมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับประเภทของการติดเชื้อ
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงการเกิดผื่นแดง
การเกิดผื่นแดงอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น
- สภาวะแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น มีละอองเกสร แมลง ขนสัตว์ หรือบริเวณที่มีสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
- การสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด สารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรม
- อากาศ เช่น อากาศหนาวอาจทำให้ผิวแห้ง อาจเกิดอาการคันและเป็นผื่นแดงได้
- แพ้ยา แพ้อาหาร หากบุคคลที่มีอาการแพ้รุนแรง อาจเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เนื่องจากหายใจไม่ออก
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยผื่นแดง
การวินิจฉัยเบื้องต้น คุณหมอจะทำการตรวจร่างกายและสอบถามข้อมูลต่าง ๆ เช่น ประวัติการเจ็บป่วย ลักษณะอาการ อาหารและยาที่รับประทาน รวมถึงการตรวจอื่น ๆ เช่น
- การตรวจชิ้นเนื้อ และส่งไปยังห้องปฏิบัติการ เพื่อทำการทดสอบว่าผื่นแดงเกิดจากสาเหตุใด
- การตรวจเลือด เพื่อเช็คความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
- การตรวจปฏิกิริยาภูมิแพ้ เป็นการตรวจเช็คว่าร่างกายแพ้อะไรบ้าง เพื่อที่จะสามารถหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดผื่นแดงขึ้น
การรักษาผื่นแดง
ผื่นแดงที่ไม่ค่อยรุนแรงอาจสามารถจางหายเองได้โดยไม่ต้องรักษา อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน ควรไปพบคุณหมอเพื่อทำการรักษา ดังต่อไปนี้
- ยาทาภายนอก ที่มีส่วนประกอบของตัวยา เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) พิเมโครลิมัส (Pimecrolimus) อาจช่วยบรรเทาอาการคัน บวม และรอยแดง
- โลชั่นบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง
- ยาแก้แพ้ เช่น ไดเฟนไฮดรามีน เพื่อบรรเทาอาการคัน
- บำบัดด้วยแสง โดยใช้รังสียูวีเอ (UVA) หรือรังสียูวีบี (UVB) เพื่อรักษา
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์บางอย่างอาจช่วยป้องกันการเกิดผื่นแดงได้ นอกจากนี้ การดูแลตนเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยอาจปฏิบัติได้ดังนี้
- ประคบเย็น อาบน้ำเย็น เนื่องจากความเย็นอาจช่วยลดอาการคันได้ และควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่ร้อนและมีความชื้นมากเกินไป
- ปกป้องผิวจากแสงแดด โดยทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป
- ทำผิวให้แห้ง หลังจากออกกำลังกาย หรือหลังจากอาบน้ำ
- สวมเสื้อผ้าสบาย หลวม หรือระบายอากาศได้ดี
- ลดน้ำหนัก
- ลดความตึงเครียด โดยหากิจกรรมทำ เช่น ฟังเพลง ดูหนัง ปลูกต้นไม้ ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสพวกสารเคมี เช่น ผลิตภัณฑ์ล้างห้องน้ำ น้ำยาย้อมผม
- หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด สำหรับบุคคลที่รู้ว่าตนเองแพ้ เช่น อาหารทะเล แพ้แป้งสาลี แพ้นมวัว