ผื่นแพ้ยา คือ ภาวะที่มีผื่นขึ้นบนผิวหนังเนื่องจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อยาที่กำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจมีตั้งแต่อาการผื่นแดงบนผิวหนังคล้ายลมพิษ ผดผื่นเล็ก ๆ หรือผิวหนังลอกเป็นสะเก็ด เพื่อความปลอดภัย หากพบว่ามีอาการผื่นขึ้นหลังจากการใช้ยา ควรแจ้งให้คุณหมอทราบเกี่ยวกับอาการและรายชื่อของยาทั้งหมดที่กำลังใช้อยู่ เพื่อปรับเปลี่ยนเป็นยาชนิดใหม่มาทดแทน
ผื่นแพ้ยาเกิดจากอะไร
ผื่นแพ้ยา เกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อยาที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นยารักษาโรค วิตามิน สมุนไพร หรือยารูปแบบทาภายนอก โดยเมื่อระบบภูมิคุ้มกันตรวจจับว่ายานั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายก็จะผลิตแอนติบอดีที่เรียกว่าอิมมูโนโกลบูลิน อี (Immunoglobulin E) และเข้าโจมตีสารเคมีในยานั้น ซึ่งกระบวนการนี้อาจทำให้มีการหลั่งสารเคมีที่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ ซึ่งอาจปรากฏเป็นอาการผื่นขึ้นทันทีหลังใช้ยาหรือหลังจากใช้ยา 2-3 สัปดาห์
อาการผื่นแพ้ยา
อาการผื่นแพ้ยา อาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการต่าง ๆ เช่น อาการคันผิวหนัง น้ำมูกไหล คันตา น้ำตาไหล หายใจถี่ มีไข้ คลื่นไส้ ท้องร่วง ซึ่งลักษณะของผื่นอาจแตกต่างกันออกไปตามชนิดของยาที่รับประทาน ดังนี้
- ผิวหนังเป็นสะเก็ดและผิวลอกแดงทั่วทั้งร่างกาย อาจเกิดจากยาชนิดต่าง ๆ ได้แก่ ยาในกลุ่มซัลฟา (Sulfa) ที่ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหลอดลมอักเสบ การติดเชื้อที่ระบบทางเดินในทางเดินปัสสาวะ ยาบาร์บิทูเรต (Barbiturate) ใช้สำหรับระงับระบบประสาท ช่วยให้นอนหลับ และคลายความกังวล ยาไอโซไนอาซิด (Isoniazid) เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เพนิซิลลิน (Penicillin) เป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้สำหรับต้านเชื้อแบคทีเรีย และยาเฟนิโทอิน (Phenytoin) ที่ใช้สำหรับควบคุมอาการชัก
- ผื่นแดงสีม่วงเข้ม อาจเกิดจากการแพ้ยาปฏิชีวนะที่มีส่วนประกอบของฟีนอล์ฟทาลีน (Phenolphthalein) ซึ่งอาจปะปนอยู่ในยาระบายบางชนิด แต่หากพบอาการในบริเวณขามากกว่าลำตัว อาจเกิดจากการแพ้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือยาขับปัสสาวะ
- ผื่นแดงมีลักษณะเป็นตุ่มหรือลมพิษ อาจเกิดจากแพ้สารเคมีและยาบางชนิด เช่น แอสไพริน เพนิซิลลิน
- ผื่นผดแดงเล็ก ๆ อาจเกิดจากการแพ้ยาปฏิชีวนะ หรือยาลดความดันโลหิต
- ตุ่มพองลักษณะคล้ายผิวถูกไฟไหม้ เรียกอีกอย่างได้ว่า กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens Johnson Syndrome) อาจเกิดจากการแพ้ยาในกลุ่มซัลฟา บาร์บิทูเรต เพนิซิลลิน รวมถึงยารักษาโรคเบาหวาน
นอกจากนี้ ยังมียาชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นยาชารูปแบบทาเฉพาะที่ เคมีบำบัดที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง ที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ยาได้ หากสังเกตว่ามีอาการแพ้ยาเฉียบพลัน หรือมีอาการแย่ลงควรพบคุณหมอทันที
อาการแพ้ยาแบบไหนควรพบคุณหมอ
หากมีอาการแพ้ยาร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ ควรพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาในทันที
- หายใจลำบาก
- ผื่นขึ้น ผิวหนังบวมทั่วร่างกาย
- อ่อนเพลีย ปวดข้อต่อ
- มีไข้
- ปวดท้อง ท้องเสีย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- วิงเวียนศีรษะ
- หน้ามืด หมดสติ
- หัวใจเต้นเร็ว
- ชัก
- ความดันโลหิตลดลง
- ปัสสาวะเป็นเลือด
วิธีรักษาผื่นแพ้ยา
วิธีรักษาผื่นแพ้ยา มีดังต่อไปนี้
หากมีอาการผื่นแพ้ยา ควรหยุดใช้ยาในทันที แต่หากจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อรักษาโรค ควรแจ้งให้คุณหมอทราบเมื่อมีอาการแพ้ยา เพื่อให้คุณหมอปรับเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่นแทน นอกจากนี้ คุณหมออาจสั่งยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการผื่นแพ้ยา ดังนี้
- ยาไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) เป็นยาต้านฮีสตามีน ที่ช่วยลดการปล่อยสารฮีสตามีนที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ จึงสามารถช่วยบรรเทาอาการแพ้ได้
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ใช้เพื่อรักษาอาการอักเสบ
- ยาอัลบูเทอรอล (Albuterol) เป็นยาขยายหลอดลมที่ใช้สำหรับผู้ที่มีอาการหอบหืดและไอระดับปานกลางจากอาการแพ้ยา
การป้องกันผื่นแพ้ยา
การป้องกันผื่นแพ้ยาอาจทำได้โดยการสังเกตว่าตัวเองแพ้ยาชนิดใด และจดรายละเอียดยา เพื่อแจ้งให้คุณหมอทราบทุกครั้งเมื่อรับยาหรือเข้ารับการรักษา หรือสวมข้อมือที่มีสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ยาและระบุยาที่แพ้ร่วมด้วย เหมาะสำหรับในกรณีเข้ารับการรักษาแบบฉุกเฉินที่อาจไม่สามารถสื่อสารกับคุณหมอได้
[embed-health-tool-heart-rate]