สิวเชื้อรา หรือที่เรียกกันว่า สิวยีสต์ คือ โรคที่เรียกว่า รูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา (Malassezia Folliculitis หรือ Pityrosporum Folliculitis) เกิดจากราประเภทยีสต์ในกลุ่มมาลาสซีเซีย (Malassezia) ที่มีอยู่บนผิวหนังตามธรรมชาติเจริญเติบโตมากผิดปกติ จนทำให้รูขุมขนอักเสบ เกิดเป็นตุ่มนูน หรือตุ่มหนองขึ้นเป็นกระจุก บางครั้งอาจขึ้นเป็นตุ่มเล็ก ๆ คล้ายสิวหัวขาว ทำให้รู้สึกเจ็บ แสบ และคัน อาจพบได้บ่อยบริเวณผิวหนังที่มีความมัน เช่น ใบหน้า ไรผม หน้าอก แผ่นหลัง
[embed-health-tool-bmr]
สิวเชื้อรา แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่
สิวเชื้อรา หรือที่เรียกกันว่า สิวยีสต์ แท้จริงแล้วคือโรคที่เรียกว่า รูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา เกิดจากราประเภทยีสต์ในกลุ่มมาลาสซีเซีย ที่มีอยู่บนผิวหนังตามธรรมชาติเจริญเติบโตมากผิดปกติ จนทำให้รูขุมขนอักเสบ เกิดเป็นตุ่มนูน หรือตุ่มหนองขึ้นเป็นกระจุก บางครั้งอาจขึ้นเป็นตุ่มเล็ก ๆ คล้ายสิวหัวขาว ทำให้รู้สึกเจ็บ แสบ และคัน อาจพบได้บ่อยบริเวณผิวหนังที่มีความมัน เช่น ใบหน้า ไรผม หน้าอก แผ่นหลัง แต่ก็สามารถพบที่ต้นแขน หลังมือ หรือน่องได้เช่นกัน
ลักษณะของรูขุมขนอักเสบจากเชื้อรานี้ดูคล้ายสิว หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเป็นสิว จึงเรียกกันว่า สิวเชื้อรา หรือ สิวยีสต์ และรักษาด้วยยารักษาสิวทั่วไปจนอาจทำให้อาการแย่ลง แม้รูขุมขนอักเสบจากเชื้อราจะมีลักษณะเหมือนสิว แต่หากพิจารณาดี ๆ จะเห็นว่า รูขุมขนอักเสบจากเชื้อราและสิวนั้นแตกต่างกัน อาการที่อาจสังเกตได้ คือ อาการคัน เพราะหากเป็นสิวปกติจะไม่คัน
ผู้ที่เป็นสิวเชื้อราบางรายอาจคันหนักขึ้นหลังทำกิจกรรมที่เหงื่อออกมาก เช่น ออกกำลังกาย อบซาวน่า อาบน้ำร้อน หากเกาอาจเกิดผื่นแดงลามไปทั่วบริเวณ ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นเกลื้อนหรือโรคผิวหนังอักเสบ ที่เรียกว่า โรคเซ็บเดิร์ม ร่วมด้วย โรครูขุมขนอักเสบจากเชื้อรานี้ หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจลุกลามถึงขั้นเป็นโรครูขุมขนอักเสบรุนแรง สร้างความเจ็บปวดทรมาน ทำให้ขนหลุดร่วงถาวรและเป็นแผลเป็นได้อีกด้วย
สาเหตุของสิวเชื้อรา
รูขุมขนอักเสบจากเชื้อราเกิดจากเชื้อราบนผิวหนังเจริญเติบโตมากผิดปกติ ซึ่งอาจมาจากปัจจัยเหล่านี้
- สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ โดยเฉพาะ ผ้าใยสังเคราะห์ ทำให้เหงื่อออกมาก เนื่องจาก ยีสต์เจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อน ชื้น
- ทาผลิตภัณฑ์กันแดดหรือบำรุงผิวที่มันเกินไป เช่น น้ำมันมะพร้าว ทำให้รูขุมขนอุดตัน
- เป็นคนผิวมัน ซึ่งน้ำมันบนผิวคืออาหารของยีสต์
- ระบบภูมิคุ้มกันมีปัญหาจึงไม่สามารถควบคุมเชื้อยีสต์บนผิวหนังได้
- เครียดหรือเหนื่อยล้า
- เป็นโรคเบาหวาน
- รับประทานยากลุ่มสเตียรอยด์ เช่น ยาเพรดนิโซน (Prednisolone)
- รับประทานยาปฏิชีวนะ ทำให้ตัวยาไปกำจัดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราชนิดนี้จึงเติบโตมากเกินไป
- รับประทานยาคุมกำเนิด
- น้ำหนักตัวมากเกินไป ทำให้เหงื่อออกเยอะขึ้นและเสื้อผ้าคับขึ้น
สิวเชื้อรา รักษาและป้องกันได้อย่างไรบ้าง
ผลการศึกษาพบว่า ยาต้านเชื้อราไอทราโคนาโซล (Itraconazole) สามารถรักษาสิวยีสต์ได้ดีที่สุด แต่บางคนที่มีทั้งสิวจริง ๆ และสิวเชื้อรา คุณหมออาจสั่งจ่ายยาฆ่าเชื้อราชนิดทาและครีมแต้มสิวควบคู่ไปด้วย สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสิวเชื้อราหรือรูขุมขนอักเสบจากเชื้อราด้วยตัวเอง อาจหาซื้อยาสระผมที่มีตัวยาซีลีเนียม ซัลไฟด์ (Selenium Sulfide) เป็นส่วนประกอบ มาทาไว้ประมาณ 10 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือทายาฆ่าเชื้อรา เช่น อีโคนาโซล (Econazole) นอกจากนี้ ยังอาจทาทีทรีออยล์เจือจางบริเวณที่เป็นสิวเชื้อราวันละ 2 ครั้ง
สิวเชื้อราไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่การทำความสะอาดร่างกายเป็นประจำทุกวันด้วยสบู่และแชมพูต้านเชื้อรา อาจช่วยควบคุมไม่ให้เชื้อราเจริญเติบโตบนผิวหนังมากเกินไป รวมไปถึงการกินโพรไบโอติกส์ เช่น โยเกิร์ต ผักผลไม้ดอง มิโซะซุป ก็อาจช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อราที่เจริญมากผิดปกติได้เช่นกัน