“สิว” ไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างที่ใครหลายๆ คนคิด ยิ่งคนที่เคยเผชิญปัญหานี้ บอกเลยมีทั้งความกังวลใจ และความไม่มั่นใจ ถึงแม้สิวจะหายไป แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบตามมา ทั้งรอยแผลเป็นจากสิว หลุมสิว รอยดำ รอยแดง และสำหรับคนที่เคยมีปัญหาสิว โดยเฉพาะในวัยรุ่น สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่ปัญหาทางผิวหนังเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจ หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ กังวลทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับคนอื่น รู้สึกเหมือนถูกจับจ้อง หรือบางครั้งถึงกับหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ กัดกร่อนความมั่นใจในตัวเอง และทำให้หลายคนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น
การปล่อยปละละเลยไม่รีบรักษาสิวตั้งแต่เนิ่นๆ อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวที่เกิดจากหลุมสิว ยกตัวอย่างเช่น สิวที่หลัง ซึ่งมักถูกมองข้าม ทำให้ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม การรักษารอยแผลเป็นจากสิวเหล่านี้เป็นไปได้ยาก และในปัจจุบันก็สามารถดูแลได้เพียงทำให้หลุมสิวดีขึ้นเท่านั้น ทางที่ดีจึงควรเริ่มรักษาสิวด้วยวิธีที่ถูกต้อง และเร็วที่สุด เพื่อลดความรุนแรงและรอยโรคที่จะเกิดขึ้นตามมา
แน่นอนว่าปัญหาสิวไม่สามารถหายไปได้ง่ายๆ ยิ่งกว่านั้นยังเกิดขึ้นในหลายส่วนของร่างกาย 64.6-89.3% ของคนที่เป็นสิวในระดับปานกลางมักจะต้องเจอกับสิวที่ใบหน้าและสิวที่หลัง
จากการสำรวจพบว่ามีคนไทยที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 12-25 ปี มากถึง 85% ที่ต้องเผชิญกับปัญหาสิว ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 50% ที่เป็นสิวทั้งที่หน้าและสิวที่หลัง การรักษาสิวอย่างตรงจุด จึงจำเป็นที่จะต้องครอบคลุมทั้ง 2 บริเวณ และจะต้องช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความมั่นใจในระยะยาวอีกด้วย
วิธีรักษาสิวมีได้หลากหลายรูปแบบ โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้ยารักษาสิว ซึ่งสามารถทำได้เองทุกวัน ยาในกลุ่มเรตินอยจัดเป็นยารักษาสิวประสิทธิภาพดี ช่วยลดการอักเสบทั้งสิวเก่า และป้องกันสิวใหม่ไม่ให้เกิดขึ้น ทำให้ยาทาในกลุ่มเรตินอยได้ถูกระบุให้เป็นทางเลือกแรกในการรักษาสิวโดยสถาบันโรคผิวหนังแห่งอเมริกา แม้ว่าแนวทางการรักษาสิวที่ใบหน้าของไทยจะสอดคล้องกับแนวทางสากล แต่ไม่ได้แปลว่าแนวทางนี้จะปรับใช้ได้กับทุกบริเวณของการเกิดสิว อาทิ ความแตกต่างระหว่างสิวที่ใบหน้าและสิวที่หลัง ทั้ง 2 บริเวณมีความแตกต่างกันทั้ง ด้านลักษณะ pH ของผิว ความหนาและจำนวนต่อมไขมัน และปัจจัยภายนอกอื่นๆ อย่างเช่น การเสียดสีกับเสื้อผ้า เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้สิวที่หลังรักษายากกว่าสิวบนใบหน้า และยังไม่มีแนวทางการรักษาเฉพาะทางสำหรับสิวที่บริเวณดังกล่าวในไทย ด้วยคุณสมบัติในการลดการอุดตันของรูขุมขนและลดการอักเสบ รวมไปถึงการมีประสิทธิภาพสูงในความเข้มข้นต่ำ และยังถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้น้อย ทำให้ยาในกลุ่มเรตินอยที่มีชื่อว่า Trifarotene เป็นยาที่เหมาะกับการใช้รักษาสิวที่หน้าและสิวที่หลัง
ก่อนหน้านี้เรตินอยได้ถูกวิจัยและพัฒนาออกมาแล้วถึง 3 เจเนอเรชั่น แต่ปัจจุบัน การพัฒนายารักษาสิวก้าวหน้าไปมาก มีการค้นคว้าและพัฒนาจนได้ยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวที่ดีขึ้น
อย่างบริษัท กัลเดอร์มา ก็ยังคงไม่หยุดนิ่งในการวิจัยและพัฒนาเรตินอยเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนที่ต้องประสบปัญหาสิว ช่วยสร้างความมั่นใจ และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างไร้กังวลอีกครั้ง ยาเรตินอยเจเนอเรชั่นที่ 4 ที่มีชื่อว่า “Trifarotene” จึงได้ถูกค้นพบในปี 2019 ที่ผ่านมา
เรตินอย (Retinoid) ถูกพัฒนามาแล้วหลายเจเนอเรชัน
- Generation 1 ได้แก่ Tretinoin ซึ่งเป็นยาทา
- Generation 2 ส่วนใหญ่เป็นยารับประทาน เช่น Etretinate และ Acitretin
- Generation 3 อย่าง Adapalene ได้รับความนิยมในการรักษาสิว เนื่องจากระคายเคืองน้อยลง
- Generation 4 ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นล่าสุด คือ Trifarotene ที่ถูกพัฒนาล่าสุด จึงมีประสิทธิภาพในการรักษา พร้อมลดผลข้างเคียงได้ดีมากขึ้น
ยา Trifarotene นี้ได้ถูกพัฒนามาเพื่อรักษาสิวที่ใบหน้าและสิวที่หลังด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่า จากการศึกษาเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ชี้ให้เห็นว่า Trifarotene ช่วยลดสิวอักเสบที่ใบหน้าได้ถึง 54.4% และลดสิวอักเสบที่หลังได้ถึง 57.4% นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว ปัญหาเรื้อรังของคนเป็นสิว และยังมีผลการศึกษารองรับถึงความปลอดภัยในการใช้ระยะยาว
แม้ว่าโดยปกติแล้วยาในกลุ่มเรตินอยจะทำให้เกิดอาการระคายผิวในช่วง 4 สัปดาห์แรกของการใช้ แต่อาการดังกล่าวจะลดลงหลังใช้อย่างต่อเนื่อง และสามารถจัดการได้ด้วยการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ และผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด โดยผลการศึกษายังชี้ให้เห็นอีกว่าการใช้ Trifarotene ร่วมกับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน มอยเจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดด ช่วยลดอาการระคายผิวและให้ยังให้ผลการรักษาที่ชัดเจนอีกด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจรักษาสิวด้วย Trifarotene เรตินอยเจเนอเรชั่นที่ 4 สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือคุณหมอผิวหนัง
TH-AFC-2500018