เชื้อราที่เล็บเกิดจากเชื้อราหลายชนิด พบบ่อยที่สุด คือ เชื้อรา Dermatophyte ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อที่เล็บ พบมากในผู้สูงอายุ เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นเล็บจะเปราะ แห้ง และบางลง ทำให้เชื้อราเข้าไปได้ง่าย นอกจากนี้ อาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยอื่น เช่น ผู้ที่เป็นโรคน้ำกัดเท้า การไหลเวียดเลือดไม่ดี ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
อาการ ได้แก่ เล็บหนา เล็บเปลี่ยนสีเป็นสีขาว สีเหลือง หรือสีน้ำตาล เล็บเปราะ แห้ง บาง รูปร่างบิดเบี้ยว อาจมีกลิ่นเหม็นเล็กน้อย
การรักษา การรักษาเชื้อราที่เล็บอาจขึ้นอยู่กับอาการที่เกิดขึ้นเป็นหลัก โดยคุณหมออาจให้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน เช่น เทอร์บินาไฟน์ (Terbinafine) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) หรือยาทาไซโคลพิรอกซ์ (Ciclopirox) ยาใช้ภายนอกเพื่อช่วยต้านเชื้อรา
-
การติดเชื้อยีสต์
การติดเชื้อยีสต์เกิดจากการติดเชื้อราแคนดิดา (Candida) เป็นโรคไม่ติดต่อ มักเกิดขึ้นในบริเวณที่อบอุ่น เปียกชื้น และบริเวณรอยพับ โดยเฉพาะรักแร้และขาหนีบ พบบ่อยในผู้ที่เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือผู้ที่รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ การติดเชื้อราแคนดิดาอาจทำให้เกิดผื่นผ้าอ้อมในทารก นอกจากนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในเล็บ ช่องคลอด หรือปาก
อาการ ได้แก่ ผื่น ของเหลวไหลจากแผล ตุ่มหนอง คัน และแสบร้อนบริเวณที่ติดเชื้อ
อาการติดเชื้อราในปาก ได้แก่ จุดสีขาวบนลิ้น และภายในแก้ม ความเจ็บปวด
อาการติดเชื้อราในช่องคลอด ได้แก่ ตกขาวสีเหลือง เขียว คัน อวัยวะเพศภายนอกแดง แสบร้อน
การรักษา ขึ้นอยู่กับบริเวณของการติดเชื้อรา คุณหมออาจให้ยาต้านเชื้อราประเภทเดียวกับการติดเชื้อราที่ผิวหนังบริเวณอื่น เช่น โคลไตรมาโซล (Clotrimazole) อีโคนาโซล (Econazole) หากมีอาการรุนแรงมากขึ้นอาจให้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน เช่น เทอร์บินาไฟน์ (Terbinafine) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) สำหรับการติดเชื้อราในช่องคลอดคุณหมออาจให้ยาเหน็บต้านเชื้อรา
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย