ปัจจุบันโควิดสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ได้เริ่มแพร่ระบาดทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่ขณะนี้ได้รับการยืนยันจากทางกระทรวงสาธารณสุขแล้วว่า มีผู้ติดเชื้อโอมิครอนมากกว่า 100 ราย และอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ จึงอาจทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงข้อมูลการป้องกัน อาการ ที่แน่ชัด เพื่อความปลอดภัย ควรสำรวจอาการของตนเอง เพื่อทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที
โควิดสายพันธุ์โอมิครอน คืออะไร
โอมิครอน (Omicron) คือเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ถูกพบครั้งแรกในประเทศแอฟริกา ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศยกระดับให้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล เนื่องจากโอมิครอน มีการกลายพันธุ์ของยีนมากถึง 50 ตำแหน่ง โปรตีนส่วนหนามของไวรัส 32 ตำแหน่ง และการกลายพันธุ์ส่วนที่เป็นตัวจับเซลล์ในร่างกาย 10 ตำแหน่ง โดยการกลายพันธุ์นี้อาจส่งผลให้ไวรัสหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ดี แพร่กระจายได้ไว มีความเสี่ยงที่ส่งผลให้ติดเชื้อซ้ำได้
อาการโควิดสายพันธุ์โอมิครอน มีอะไรบ้าง
อาการโควิดสายพันธุ์โอมิครอนอาจส่งผลความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่บุคคล ขึ้นอยู่กับสภาวะทางสุขภาพ อายุ จากข้อมูลของผู้ติดเชื้อโอมิครอนส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการใด ๆ บางคนอาจมีอาการน้อยเหมือนไข้หวัดธรรมดา ตามการรายงานจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติประเทศอังกฤษ และคณะนักวิจัยประเทศแอฟริกาใต้ เผยว่า อาการโควิดสายพันธุ์โอมิครอนแตกต่างจากอาการป่วยของโควิด-19 สายพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งสามารถสังเกตได้ ดังนี้
- ปวดกล้ามเนื้อแบบไม่รุนแรง
- เหงื่อออกช่วงเวลากลางคืน
- ไอแห้ง เจ็บคอ
- อ่อนเพลีย
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- ปวดหัว
วิธีป้องกันโควิดสายพันธุ์โอมิครอน
ขณะนี้ประเทศไทยได้มีมาตรการป้องกันด้วยการยกระดับการเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางเข้า-ออกประเทศ รวมถึงตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ มีการตรวจเชื้อไวรัสในกลุ่มบุคคลที่อยู่ในความเสี่ยงติดเชื้อเพื่อนำไปตรวจหาโควิดสายพันธุ์โอมิครอน และแนะนำให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิดมากที่สุด ถึงแม้ว่ายังไม่มีหลักฐานที่เพียงพอว่าวัคซีนชนิดใดช่วยป้องกันโควิสายพันธุ์โอมิครอนได้ แต่วัคซีนยังคงมีบทบาทสำคัญที่อาจช่วยบรรเทาอาการ ลดความเสี่ยงการเสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุข และคุณหมอส่วนใหญ่ในประเทศไทย ได้แนะนำวิธีป้องกันโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เบื้องต้น ดังนี้
- สวมหน้ากากอนามัย
- เว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนมาก
- หากไอ หรือ จาม ควรหันหน้าเข้าบริเวณข้อศอก
- ทำความสะอาดมือทุกครั้งเมื่อสัมผัสกับสิ่งรอบตัว ก่อนสัมผัสใบหน้า หลังจากเข้าห้องน้ำ หลังจากไอจาม เป็นต้น ด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือสบู่
- ระบายอากาศให้ถ่ายเท ด้วยการเปิดหน้าต่าง
- ทำความสะอาดฆ่าเชื้อพื้นผิวที่สัมผัสบ่อย เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ สวิตช์ไฟ โทรศัพท์