มะเร็งหลอดอาหาร เกิดจากเนื้อเยื่อที่มีเซลล์เจริญเติบโตผิดปกติบริเวณเนื้อเยื่อชั้นในของหลอดอาหาร โดยหลอดอาหารเป็นท่อที่เชื่อมต่อจากคอลงสู่กระเพาะอาหาร ในการกลืนแต่ละครั้งกล้ามเนื้อหลอดอาหารจะบีบตัวและดันอาหารตกลงสู่กระเพาะ มะเร็งหลอดอาหารเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อย และส่วนใหญ่มักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
คำจำกัดความ
มะเร็งหลอดอาหาร คืออะไร
มะเร็งหลอดอาหาร เกิดขึ้นเมื่อเซลล์เนื้อเยื่อชั้นในของหลอดอาหารเจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นเนื้อร้าย โดยเกิดจากเนื้อเยื่อชั้นในโตออกสู่ผนังด้านนอก และแพร่กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง กระแสเลือด รวมถึงอวัยวะข้างเคียงได้ เช่น ปอด ตับ และอวัยวะอื่น ๆ ภายในร่างกาย โดยมะเร็งหลอดอาหารสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- เซลล์มะเร็งชนิดสความัส (Squamous Cell Carcinoma) เกิดที่เซลล์เยื่อบุผนังหลอดอาหาร บริเวณส่วนต้นและส่วนกลางของหลอดอาหาร
- เซลล์มะเร็งชนิดอะดีโน (Adenocarcinoma) มักพบในตำแหน่งหลอดอาหารส่วนปลายและรอยต่อระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร
มะเร็งหลอดอาหาร พบได้บ่อยแค่ไหน
World Cancer Research Fund และ American Institute for Cancer Research เผยว่า ในปี 2018 มะเร็งหลอดอาหารเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับที่ 7 ของโลก และเกิดขึ้นบ่อยที่สุดเป็นอันดับที่ 7 ในผู้ชาย เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นบ่อยเป็นอันดับที่ 13 ในผู้หญิง
อาการ
อาการของมะเร็งหลอดอาหาร
สัญญาณและอาการของมะเร็งหลอดอาหาร อาจมีดังนี้
- กลืนลำบาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารนิ่ม อาหารเหลว หรือแม้แต่น้ำ
- อาหารไม่ย่อย หรือเรอบ่อย
- ไอเรื้อรัง
- เจ็บหน้าอก
- เหนื่อยง่าย และไม่มีแรง
ควรไปพบหมอเมื่อใด
หากมีอาการใด ๆ ที่กล่าวมาเบื้องต้น ควรไปหาหมอเพื่อตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาอย่างถูกวิธี
ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดควรปรึกษาคุณหมอ เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์
สาเหตุ
สาเหตุการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร
สาเหตุของการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน อาจเกิดจากการที่เซลล์ในหลอดอาหารเปลี่ยนแปลงทำให้เซลล์มะเร็งเติบโต และแบ่งตัว โดยเซลล์ผิดปกติอาจก่อตัวเป็นเนื้องอกในหลอดอาหาร และลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหาร
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร อาจมีดังต่อไปนี้
- อายุที่เพิ่มขึ้น โดยประมาณ 45-70 ปีขึ้นไป
- พันธุกรรม หรือคนในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็ง
- เพศชาย มีแนวโน้มที่จะเป็นมากกว่าเพศหญิงถึง 3 เท่า
- สูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- สัมผัสสารเคมีบางชนิดเป็นเวลานาน
- รับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ และอาหารที่มีแร่ธาตุต่างๆ น้อยเกินไป
- เป็นโรคกรดไหลย้อน หรือภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง
- ภาวะหลอดอาหารบาร์เรตต์ (Barrett’s Esophagus) ซึ่งเป็นภาวะที่กรดในกระเพาะอาหารทำลายเซลล์บุผนังหลอดอาหาร
- โรคอ้วน
การวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัยและการรักษามะเร็งหลอดอาหาร
ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาคุณหมอสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยมะเร็งหลอดอาหาร
การวินิจฉัยมะเร็งหลอดอาหารมีหลายวิธี โดยอาจมีวิธีดังต่อไปนี้
- การสอบถามประวัติและการตรวจร่างกาย เพื่อตรวจดูสุขภาพทั่วไป รวมถึงตรวจหาสัญญาณของโรค เช่น ตรวจดูว่ามีก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติในร่างกายหรือไม่ และสอบถามข้อมูลส่วนตัวเพื่อประกอบการวินิจฉัย
- การตรวจชิ้นเนื้อ มักทำระหว่างการส่องกล้องทางเดินอาหาร โดยนำเซลล์หรือเนื้อเยื่อออกจากหลอดอาหาร ซึ่งเซลล์จะถูกตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อหามะเร็ง
- การกลืนแป้งสารทึบแสง (Barium Swallow X-ray) เป็นการตรวจทางรังสีของหลอดอาหาร โดยการดื่มสารทึบรังสี ซึ่งจะไปเคลือบหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก และทำการถ่ายภาพเอกซเรย์เป็นระยะ ๆ ทำให้มองเห็นก้อนเนื้อหรือความผิดปกติ
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) แสดงภาพอวัยวะภายในแบบ 3 มิติ ช่วยให้เห็นตำแหน่งของโรคและการกระจายของโรคได้ละเอียดมากกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา มักใช้เพื่อประเมินขอบเขตของเนื้องอกที่แพร่กระจายไปยังหน้าอก และช่องท้อง
วิธีการรักษามะเร็งหลอดอาหาร
วิธีการรักษามะเร็งหลอดอาหาร อาจใช้วิธีการรักษาดังต่อไปนี้
- การผ่าตัด โดยนำบางส่วนของหลอดอาหารออก รวมถึงเนื้อเยื่อบางส่วนที่อยู่รอบ ๆ หลอดอาหาร
- การฉายรังสี เป็นวิธีการรักษาโรคโดยใช้รังสีพลังงานสูงหรือสารกัมมันตภาพรังสี เพื่อฆ่าหรือทำลายเซลล์มะเร็ง โดยใช้ลำแสงรังสีฉายไปยังเนื้องอก โดยอาจฉายก่อนการผ่าตัดเพื่อลดขนาดเนื้องอก หรือหลังการผ่าตัดเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่
- การให้เคมีบำบัด เป็นการใช้ยาเพื่อฆ่าหรือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยการรับประทาน หรือฉีดเข้าเส้นเลือด บางครั้งอาจใช้เคมีบำบัดก่อนการผ่าตัด เพื่อช่วยลดขนาดของเนื้องอก แต่ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น คลื่นไส้ ผมร่วง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์บางอย่าง อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ โดยการปฏิบัติดังต่อไปนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพิ่มการกินผัก ผลไม้ให้มากขึ้น
- งดการสูบบุหรี่ หรืองดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน