ตารางระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสม จะช่วยให้ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงทราบว่าระดับน้ำตาลในเลือดเท่าไหร่จึงจะถือว่าปกติ ไม่เสี่ยงเกิดโรคเบาหวาน และช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้วสามารถประเมินการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดปัจจุบันของตนและใช้เป็นข้อมูลในปรับแผนการรักษาร่วมกับคุณหมอ เพื่อช่วยให้สามารถควบคุมค่าน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ซึ่งจะลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้
[embed-health-tool-heart-rate]
ค่าน้ำตาลในเลือด สำคัญอย่างไรต่อโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดจากตับอ่อนซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลินทำงานผิดปกติไป โดยฮอร์โมนอินซูลินจะทำหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย นำน้ำตาลไปเผาผลาญเป็นพลังงาน เมื่อตับอ่อนผลิตและหลั่งอินซูลินผิดปกติไป จึงส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ
ระดับน้ำตาลในเลือด (Blood sugar levels) เมื่อตรวจขณะอดอาหาร ของคนทั่วไปจะสูงไม่เกิน 99 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แต่หากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงตั้งแต่ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป จะเข้าข่ายเป็นโรคเบาหวาน และหากปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคปลายประสาทอักเสบ
การควบคุมค่าน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายตามคำแนะนำของคุณหมอ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เพื่อไม่ให้ระดับน้ำตาลสูงเกินไปจนทำให้หลอดเลือดเสียหายและส่งผลเสียต่อการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
เกณฑ์ค่าน้ำตาลในเลือด อาจมีดังนี้
ระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้มีสุขภาพแข็งแรงและไม่เป็นโรคเบาหวาน
- ระดับน้ำตาลในเลือดช่วงอดอาหาร (Fasting) ระหว่าง 55-99 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง มักไม่เกิน 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหาร (Before meals) อยู่ที่ 72-126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร (After meals) ไม่เกิน 162 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 และไม่เกิน 154 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2
ตารางค่าน้ำตาลในเลือด เป้าหมาย
ระดับน้ำตาลในเลือดเป้าหมาย (Target range) เป็นช่วงของระดับน้ำตาลในเลือดที่จะทำให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ทำให้มีน้ำตาลสะสมในกระแสเลือดสูงจนส่งผลเสียต่อการทำงานและสุขภาพของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
การควบคุมค่าน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมายจะช่วยให้ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ทั้งชนิดเฉียบพลัน เช่น อาการน็อกเบาหวาน ภาวะเลือดเป็นกรด และชนิดเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง โดยคุณหมอจะช่วยแนะนำระดับน้ำตาลในเลือดเป้าหมายให้กับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งอาจต่างกันตามภาวะสุขภาพ
อย่างไรก็ตาม สถาบันแห่งชาติเพื่อความเป็นเลิศด้านสุขภาพและการแพทย์ หรือไนซ์ (National Institute for Health and Care Excellence : NICE) ของสหราชอาณาจักร ได้จัดทำหลักเกณฑ์ ตารางค่าน้ำตาลในเลือด เป้าหมาย สำหรับผู้ไม่เป็นโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคเบาหวานไว้ ดังนี้
ค่าน้ำตาลในเลือดเป้าหมาย | หลังตื่นนอน | ก่อนอาหาร | หลังอาหาร |
---|---|---|---|
ผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน | 72-126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | ต่ำกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | |
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 | 90-126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | 72-126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | 90-162 มิลลิกรัม/เดซิลิตร |
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 | 72-126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | ต่ำกว่า 154 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | |
เด็กที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 | 72-126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | 72-126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | 90-162 มิลลิกรัม/เดซิลิตร |
วิธีวัดค่าน้ำตาลในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวาน
วิธีตรวจวัดค่าน้ำตาลในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวาน สามารถได้ทำได้หลายวิธี เช่น
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่ม (Random plasma glucose test) เป็นการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดในช่วงใดของวันก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอดอาหารล่วงหน้า ทั้งนี้อาจจำเป็นต้องใช้การตรวจวิธีแบบอื่นร่วมด้วย เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัยโรคเบาหวานเพิ่มเติม
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting plasma glucose test) เป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารและเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน (ยกเว้นน้ำเปล่า) มาแล้วอย่างน้อย 8 ชั่วโมง วิธีนี้ใช้สำหรับวินิจฉัยภาวะก่อนเป็นเบาหวานและโรคเบาหวาน
- การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาลของร่างกาย (Oral Glucose Tolerance Test หรือ OGTT) เป็นการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารและเครื่องดื่มอื่นที่ให้พลังงาน อย่างน้อย 8 ชั่วโมง (แต่ไม่เกิน 14 ชั่วโมง) โดยคุณหมอจะเจาะเลือดครั้งที่ 1 เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร จากนั้นให้ผู้เข้ารับการตรวจดื่มสารละลายกลูโคสปริมาณ 75 กรัม แล้วรอ 2 ชั่วโมง จึงเจาะเลือดครั้งที่ 2 เพื่อวัดความทนทานต่อน้ำตาลของร่างกาย วิธีนี้ใช้สำหรับตรวจคัดกรองภาวะก่อนเบาหวาน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และการทดสอบความทนทานต่อนำ้ตาลยังสามารถใช้ในการตรวจคัดกรองภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้อีกด้วย (แต่จะใช้ปริมาณสารละลายกลูโคสที่ต่างกัน)
- การตรวจระดับฮีโมโกลบิน เอวันซี (Hemoglobin A1c หรือ HbA1c) หรือ การตรวจระดับน้ำตาลสะสม คือการตรวจปริมาณฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีน้ำตาลกลูโคสยึดเกาะ การตรวจนี้ไม่จำเป็นต้องอดอาหารล่วงหน้า ค่าที่ได้จะบอกถึงระดับน้ำตาลในเลือดสะสมในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ใช้สำหรับวินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวาน โรคเบาหวาน และติดตามผลการรักษา ซึ่งจะช่วยประเมินความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
ตารางค่าน้ำตาลในเลือด เพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวาน
ตารางต่อไปนี้แสดงเกณฑ์การวินิจฉัยภาวะก่อนเป็นเบาหวานและโรคเบาหวานจากการตรวจวัดค่าน้ำตาลในเลือด
วิธีตรวจค่าน้ำตาลในเลือด | ระดับปกติ | ภาวะก่อนเบาหวาน | เป็นโรคเบาหวาน |
---|---|---|---|
แบบสุ่ม | ไม่เกิน 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | |
แบบอดอาหาร | ไม่เกิน 99 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร |
แบบหลังอดอาหาร 2 ชม. | ไม่เกิน 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | 140-198 มิลลิกรัม/เดซิลิตร | 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร |
วิธีดูแลตัวเองเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
วิธีดูแลตัวเองเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อาจมีดังนี้
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เน้นผักและผลไม้น้ำตาลต่ำ เช่น กวางตุ้ง ตำลึง ผักบุ้ง ผักกาดหอม แตงกวา มะเขือ แอปเปิล องุ่น ฝรั่ง แก้วมังกร ส้ม โปรตีนอย่างเนื้อไก่ไม่ติดหนังไม่ติดมัน ธัญพืช เช่น ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย ข้าวกล้อง ข้าวฟ่าง ข้าวบาร์เลย์ ซึ่งล้วนแต่ที่มีคุณค่าทางโภชนาการและใยอาหารสูง ทั้งยังมีไขมันและแคลอรีต่ำ ใช้เวลาย่อยนานและทำให้อิ่มท้อง ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานไม่ขึ้นสูง
- จำกัดปริมาณหรือลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและน้ำตาลสสูง เช่น ขนมหวาน ชานม เบเกอรี ชาบู น้ำมันสัตว์ ไขมันสัตว์ และหลีกเลี่ยงการดื่มควรงดหรือลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเลิกสูบบุหรี่ เพราะล้วนแต่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน และทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น
- ออกกำลังกายเป็นประจำ โดยแนะนำให้ออกกำลังกายที่มีความเหนื่อยระดับปานกลาง เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ประมาณ 30 นาที/วัน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน หรือ 150 นาที/สัปดาห์ และกระตุ้นให้ตนเองกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ อาจเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ลุกขึ้นขยับร่างกายยืดเส้นสาย หรือเดินเมื่อต้องนั่งทำงานนาน ๆ พยามไม่นั่งหน้าโทรทัศน์โดยไม่ขยับไปไหนเลยเป็นเวลาหลายชั่วโมงติดต่อกัน เป็นต้น
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอ รับประทานยาหรือฉีดอินซูลินอย่างสม่ำเสมอ ตรวจวัดค่าน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองเป็นประจำ และไปพบคุณหมอตามนัดหมายทุกครั้ง
- ในช่วงที่ไม่สบาย ผู้ป่วยเบาหวานควรดูแลตัวเองให้ดีเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ จนอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแปรปรวน จนอาจสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์ได้