backup og meta

ทำความรู้จักกับกับ เบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2

ทำความรู้จักกับกับ เบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2

เบาหวาน (Diabetes) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก คือ เบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2 โดยมีสาเหตุมาจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่าง ๆ เช่น ตา เท้า ระบบประสาท การเรียนรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานทั้ง 2 ประเภท อาจช่วยให้รับมือกับโรคเบาหวานได้อย่างเหมาะสม

[embed-health-tool-bmi]

ทำความรู้จักกับโรค เบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2

เบาหวาน (Diabetes) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ตามสาเหตุการเกิดโรค ดังนี้

  • เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีและทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลิน (Insulin) ทำให้ร่างกายมีอินซูลินไม่เพียงพอ จึงควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ และส่งผลให้มีน้ำตาลในเลือดสูง
  • เบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายของคุณผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ หรือไม่มีปฏิกิริยาต่ออินซูลิน จึงส่งผลให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ และน้ำตาลในเลือดสูง

อาการของ เบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2

อาการโดยทั่วไปของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 มีดังต่อไปนี้

  • ปัสสาวะบ่อย
  • รู้สึกกระหายน้ำมาก
  • รู้สึกหิวมาก
  • เหนื่อยล้าอย่างรุนแรง
  • มองเห็นไม่ชัด
  • แผลบาด หรือรอยช้ำหายช้า
  • น้ำหนักลด (เบาหวานชนิดที่ 1)
  • รู้สึกเสียวซ่า ปวด หรือชาบริเวณมือและเท้า (เบาหวานชนิดที่ 2)

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีอาการนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับอาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2 โปรดปรึกษาคุณหมอทันที

ควรไปพบคุณหมอเมื่อไร

ควรไปพบคุณหมอ หากมีอาการดังต่อไปนี้

  • รู้สึกกระหายน้ำมาก
  • ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะตอนกลางคืน
  • รู้สึกเหนื่อยล้ามาก
  • น้ำหนักลด และสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
  • คันบริเวณอวัยวะเพศ หรืออวัยวะเพศติดเชื้อราบ่อย ๆ
  • แผลหายช้าผิดปกติ
  • มองเห็นไม่ชัด

สาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2

เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากร่างกายดื้อต่ออินซูลิน หรือไม่ตอบสนองต่ออินซูลินตามปกติ

โดยปกติแล้ว เมื่อมีอาหารถูกย่อยและเข้าสู่กระแสเลือด ฮอร์โมนที่ชื่อว่าอินซูลิน จะนำเอาน้ำตาลกลูโคสออกไปจากเลือดเข้าสู่เซลล์ เพื่อย่อยสลายกลายเป็นพลังงาน แต่สำหรับบางคน อาจมีอินซูลินไม่พอจะนำกลูโคสออกไป หรือการผลิตอินซูลินทำงานได้อย่างไม่ถูกต้อง ร่างกายจึงไม่สามารถย่อยสลายกลูโคสให้กลายเป็นพลังงานได้ และส่งผลให้มีน้ำตาลสะสมในเลือดมากเกินไป จนเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2 ในที่สุด

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน

ผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี มักจะเป็นโรคเบาหวานได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย สูบบุหรี่ หรือมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ก็จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าด้วย

การวินิจฉัยโรคและการรักษาโรคเบาหวาน

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

คุณหมอสามารถบ่งชี้ได้ว่าผู้ป่วยมีการเผาผลาญอาหารตามปกติ ภาวะก่อนเบาหวาน หรือเป็นโรคเบาหวานได้ด้วย 3 วิธี ดังต่อไปนี้

  1. การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (The A1C test)
  2. การวัดระดับกลูโคสในพลาสมา (Fasting plasma glucose test)
  3. การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล (Oral glucose tolerance test)

การรักษาโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องรับสารอินซูลินเพื่อควบคุมโรคเบาหวาน และทำให้โดยการฉีดยาหลายครั้ง หรือด้วยอินซูลินปั๊ม (Insulin pump) ซึ่งเป็นเครื่องมือขนาดเล็กที่จะส่งสารอินซูลินให้อย่างต่อเนื่องตลอดวัน

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถรักษาและควบคุมโรคได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
  • ออกกำลังกาย
  • รับประทานยาเพื่อควยคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด ได้แก่
    • ยาเพิ่มระดับของอินซูลินที่ผลิตในตับอ่อน เช่น คลอร์โพรพาไมด์ (Chlorpropamide) ไกลเมพิไรด์ (Glimepiride) ไกลพิไซด์ (Glipizide) รีพาไกลไนด์ (Repaglinide)
    • ยาลดระดับการดูดซึมน้ำตาลในลำไส้ เช่น อะคาร์โบส(Acarbose) ไมกลิทอล (Miglitol)
    • ยาเพิ่มการใช้อินซูลินของร่างกาย เช่น ไพโอกลิตาโซน (Pioglitazone) และโรซิกลิทาโซน (Rosiglitazone)
    • ยาลดการผลิตน้ำตาลในตับและเพิ่มความทนทานต่ออินซูลิน เช่น เมทฟอร์มิน (Metformin)
    • ยาเพิ่มการผลิตอินซูลินในตับอ่อน และลดการผลิตน้ำตาลในตับ เช่น อะบิกลูไทด์ (Albiglutide) อะโลกลิปทิน (Alogliptin) ดูลากลูไทด์ (Dulaglutide) ลินากลิปทิน(Linagliptin) เอกซ์เซนาไทด์ (Exenatide) ลิรากลูไทด์ (Liraglutide)
    • ยายับยั้งการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสอีกครั้งในไต และเพิ่มการขับกลูโคสในปัสสาวะ เรียกว่า โซเดียม กลูโคส โคทรานสปอร์เตอร์ อินฮิบิเตอร์ (Sodium-glucose cotransporter 2 inhibitors)

วิธีการดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

วิธีการดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน อาจมีดังนี้

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ และตรวจเลือดบ่อย ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำตาลกลูโคสในเลือดอยู่ในระดับสมดุล
  • ตรวจวัดค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นประจำ เพื่อตรวจสอบว่ามีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพหรือไม่
  • สำหรับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำไปตลอดชีวิต
  • สำหรับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อาจจำเป็นต้องใช้ยาเป็นประจำ

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

โรคเบาหวาน. http://www.nhs.uk/Conditions/Diabetes/Pages/Diabetes.aspx. Accessed March 30, 2022.

ศูนย์สุขภาพโรคเบาหวาน. http://www.webmd.com/diabetes/guide/understanding-diabetes-symptoms?page=2. Accessed March 30, 2022.

อาการเบาหวาน. http://www.diabetes.org/diabetes-basics/symptoms/?referrer=https://www.google.com.vn/. Accessed March 30, 2022.

Type 2 diabetes. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/type-2-diabetes/symptoms-causes/syc-20351193. Accessed March 30, 2022.

Type 2 Diabetes. https://www.webmd.com/diabetes/type-2-diabetes. Accessed March 30, 2022.

What is type 2 diabetes?. https://www.nhs.uk/conditions/type-2-diabetes/. Accessed March 30, 2022.

เวอร์ชันปัจจุบัน

31/03/2022

เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล

อัปเดตโดย: พลอย วงษ์วิไล


บทความที่เกี่ยวข้อง

อาหารสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ควรกินและควรหลีกเลี่ยงประเภทใดบ้าง

โรคเบาหวานชนิดที่1ในเด็ก สัญญาณเตือนและอาการ มีอะไรบ้าง


ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 31/03/2022

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา