ข้อบ่งใช้
ยา คีโตโรแลค ใช้สำหรับ
ยา คีโตโรแลค (Ketorolac) ใช้เพื่อรักษาอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรงในผู้ใหญ่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โดยปกติจะใช้ก่อนหรือหลังจากการผ่าตัด การลดอาการปวดจะช่วยให้คุณพักฟื้นได้สบายมากขึ้น และสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้
ยานี้เป็นยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) ทำงานโดยปิดกั้นการสร้างสารตามธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดการอักเสบของร่างกาย ผลของยานี้จะช่วยลดอาการบวม อาการปวด และลดไข้
ไม่ควรใช้ยา คีโตโรแลค สำหรับอาการปวดในระดับเบา หรืออาการปวดในระยะยาว เช่น อาการข้ออักเสบ
วิธีการใช้ยา คีโตโรแลค
รับประทานยานี้ โดยปกติคือทุกๆ 4 ถึง 6 ชั่วโมง พร้อมกับน้ำเปล่าเต็มแก้ว (8 ออนซ์ หรือ 240 มล.) หรือตามที่แพทย์กำหนด หลังจากรับประทานยาคีโตโรแลคแล้ว ควรรออย่างน้อย 10 นาทีจึงค่อยเอนตัวลงนอน หากเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วนขณะใช้ยานี้ อาจรับประทานพร้อมกับอาหาร นม หรือยาลดกรด
ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ และการตอบสนองต่อการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร และผลข้างเคียงอื่นๆ ควรรับประทานยานี้ในขนาดยาต่ำที่สุด และในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
อย่าเพิ่มขนาดยา รับประทานยาบ่อย หรือนานกว่า 5 วัน หากคุณยังมีอาการปวดหลังจากผ่านไป 5 วัน โปรดปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ควรใช้ และอย่ารับประทานยามากกว่า 40 มล. ภายใน 24 ชั่วโมง
หากคุณใช้ยานี้ “เท่าที่จำเป็น’ (ไม่ใช่ตามตารางยาปกติ) โปรดจำไว้ว่า ยาแก้ปวดนั้นจะได้ผลดีที่สุด หากใช้เมื่อเริ่มมีสัญญาณของอาการปวด หากคุณรอจนอาการปวดรุนแรง ยานี้อาจจะได้ผลไม่ดีนัก
แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการแย่ลง หรือหากอาการปวดนั้นไม่ลดลง
การเก็บรักษายา คีโตโรแลค
ยาคีโตโรแลคควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาคีโตโรแลคบางยี่ห้ออาจมีวิธีเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรอ่านคำแนะนำบนบรรจุภัณฑ์หรือสอบถามเภสัชกรเสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย
ไม่ควรทิ้งยาคีโตโรแลคลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามข้อมูลวิธีกำจัดยาที่ถูกต้องได้จากเภสัชกร
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาคีโตโรแลค
ก่อนใช้ยาคีโตโรแลค แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ยานี้ หรือยาแอสไพริน หรือยาในกลุ่มยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์อื่นๆ เช่น ไอบูโปรเฟน (ibuprofen) นาพรอกเซน (naproxen) เซเลโคซิบ (celecoxib) หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีสารไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะ
- โรคหอบหืด รวมถึงประวัติอาการหายใจแย่ลง หลังจากใช้ยาแอสไพริน หรือยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์อื่นๆ
- ปัญหาเกี่ยวกับเลือดออกหรือลิ่มเลือด โรคเลือด เช่น ภาวะโลหิตจาง (anemia)
- โรคหัวใจ เช่น อาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- โรคตับ
- ริดสีดวงจมูก
- ปัญหาเกี่ยวกับลำคอ กระเพาะอาหาร หรือลำไส้ เช่น เลือดออก แสบร้อนกลางอก เป็นแผล
- โรคหลอดเลือดสมอง
- อาการบวมที่ข้อเท้า เท้า หรือมือ
ในบางครั้ง การใช้ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ รวมถึงยาคีโตโรแลคอาจก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับไตได้ ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นได้ หากคุณมีภาวะขาดน้ำ มีอาการหัวใจล้มเหลว หรือเป็นโรคไต เป็นผู้สูงอายุ หรือหากกำลังใช้ยาบางชนิด (อ่านเพิ่มเติมในส่วนปฏิกิริยาของยา) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ คุณจึงควรดื่มน้ำให้มากๆ ตามที่แพทย์กำหนด และแจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากปริมาณของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนหรือง่วงซึม ฉะนั้น อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว จนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย
ยานี้สามารถทำให้เกิดอาการเลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้ได้ การดื่มสุราและสุบบุหรี่เป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับยานี้ สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ ควรจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหยุดสูบบุหรี่ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ยานี้อาจทำให้คุณมีปฏิกิริยาไวต่อแสงแดดได้ จึงควรจำกัดเวลาในการโดนแดด ควรทาครีมกันแดด และสวมเสื้อผ้าป้องกันเมื่ออยู่นอกบ้าน แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณเกิดอาการแดดเผา หรือมีแผลพุพอง หรือรอยแดงที่ผิวหนัง
ก่อนการผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยว่าคุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าน ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ เป็นต้น
ผู้สูงอายุอาจจะมีปฏิกิริยาไวต่อผลของยานี้มากกว่า โดยเฉพาะอาการเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ หรือปัญหาเกี่ยวกับไต การใช้ยานี้ในขนาดยาที่สูงเป็นเวลานาน ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณตั้งครรภ์ หรือวางแผนตั้งครรภ์ เพราะหากอยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ควรใช้ยานี้ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในไตรมาสแรก และไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อทารก และส่งผลกระทบต่อการคลอดตามปกติ
ยานี้สามารถเข้าสู่น้ำนมแม่ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนใช้ยานี้
ยาคีโตโรแลคจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด D โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา มีดังนี้
- A = ไม่มีความเสี่ยง
- B = ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C = อาจจะมีความเสี่ยง
- D = มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X = ห้ามใช้
- N = ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยาคีโตโรแลค
อาจเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องร่วง มีแก๊ส วิงเวียนศีรษะ หรือง่วงซึม หากอาการเหล่านี้ไม่หายไป หรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทันที
โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
ยานี้อาจเพิ่มระดับความดันโลหิต จึงควรทำการตรวจสอบระดับความดันโลหิตเป็นประจำ และหากมีความดันโลหิตสูง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
แจ้งให้แพทย์ทราบทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น แต่รุนแรง ได้แก่
- หมดสติ
- หัวใจเต้นเร็วหรือรัว
- การได้ยินเปลี่ยนแปลง เช่น มีเสียงอื้อในหู
- มีความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจหรืออารมณ์ เช่น สับสน ซึมเศร้า
- อาการปวดหัวบ่อยครั้งหรือรุนแรง
- ปวดท้อง
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือหาสาเหตุไม่ได้
- มีอาการบวมที่มือหรือเท้า
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง เช่น มองเห็นไม่ชัด
- อาการเหนื่อยล้าผิดปกติ
แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่หายาก แต่รุนแรง ได้แก่
- รอยช้ำหรือเลือดออก
- สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไต เช่น ปริมาณของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
- สัญญาณของการติดเชื้อ เช่น เป็นไข้ หนาวสั่น เจ็บคอบ่อยครั้ง
- อาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) เช่น คอแข็งเกร็งหาสาเหตไม่ได้ เป็นไข้
ในกรณีหายากยานี้ อาจทำให้เกิดโรคไตที่รุนแรง ซึ่งอาจถึงแก่ชีวิต ฉะนั้น หากเกิดอาการของตับเสียหาย เช่น ปัสสาวะสีคล้ำ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียนบ่อยครั้ง ดวงตาและผิวเป็นสีเหลือง ควรเข้ารับการรักษาพยาบาลทันที
การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรง ได้แก่
- ผดผื่น คันหรือบวม โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ
- วิงเวียนขั้นรุนแรง
- หายใจติดขัด
ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาคีโตโรแลคอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยาคีโตโรแลค ได้แก่
- อะลิสคิเรน (Aliskiren)
- ยาในกลุ่มเอซีอี อินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitors) เช่น แคปโตพริล (captopril) ลิซิโนพริล (lisinopril)
- ยาแองจิโอเทนซินทูรีเซฟเตอร์บล็อกเกอร์ (angiotensin II receptor blockers) เช่น ลอซาร์แทน (losartan) วาลซาร์แทน (Valsartan) ลิเทียม (lithium) เมโธเทรกเซท (methotrexate) โพรเบเนซิด (probenecid)
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisolone)
- ยาอื่นที่ส่งผลกระทบต่อไต เช่น ไซโดโฟเวียร์ (cidofovir)
- ยาขับปัสสาวะ เช่น ฟูโรซีไมด์ (furosemide)
ยาคีโตโรแลคอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการเลือดออก เมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด (anti-platelet) อย่างโคลพิโดเกรล (clopidogrel) ยาต้านการแข็งตัวของเลือด อย่างดาบิกาทราน (dabigatran) อีนอกซาพาริน (enoxaparin) วาฟาริน (warfarin)
ควรตรวจสอบฉลากของยาทั้งหมดที่คุณใช้อย่างระมัดระวัง ทั้งยาตามใบสั่งยา และยาที่หาซื้อเอง เนื่องจากยาจำนวนมากมักจะมีส่วนประกอบของยาบรรเทาอาการปวด หรือยาลดไข้ เช่น แอสไพริน ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ อย่างไอบูโพรเฟน หรือนาพรอกเซน
ยาข้างต้นมีความคล้ายคลึงกับยาคีโตโรแลค และอาจเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงได้หากใช้ร่วมกัน แต่หากแพทย์สั่งให้คุณใช้ยาแอสไพรินขนาดต่ำ เพื่อป้องกันอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง (โดยปกติคือขนาด 81-325 มก.) คุณควรใช้ยาแอสไพรินต่อไป เว้นแต่แพทย์จะสั่งอย่างอื่น สอบถามแพทย์หรือเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาคีโตโรแลคอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาคีโตโรแลคอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาคีโตโรแลคสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการปวด
ระยะเวลาโดยรวมของการใช้ยาคีโตโรแลคโดยการฉีดยา การรับประทาน หรือการพ่นทางจมูกไม่ควรเกิน 5 วัน ยาในรูปแบบรับประทานนั้นต้องใช้ร่วมกับการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำหรือการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเท่านั้น
ยาพ่นจมูก
- น้ำหนัก 50 กก. ขึ้นไป : 31.5 มก. ทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมง (พ่นเข้าจมูกข้างละ 1 ครั้ง)
- น้ำหนักน้อยกว่า 50 กก. : 15.75 มก. ทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมง (พ่นเข้าจมูกข้างละ 1 ครั้ง)
- ขนาดยาสูงสุด : 4 ครั้งต่อวัน
ยาฉีด
การรักษาด้วยการให้ยาหนึ่งครั้ง
- น้ำหนัก 50 กก. ขึ้นไป : ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 60 มก. หรือฉีดเข้าหลอดเลือด 30 มก.
- น้ำหนักน้อยกว่า 50 กก. : ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 30 มก. หรือฉีดเข้าหลอดเลือด 15 มก.
การรักษาด้วยการให้ยาหลายครั้ง
- น้ำหนัก 50 กก. ขึ้นไป : 30 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดทุกๆ 6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุด: 120 มก./วัน
- น้ำหนักน้อยกว่า 50 กก. : 15 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดทุกๆ 6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุด: 60 มก./วัน
การรับประทานยาต่อเนื่องมาจากการรักษาด้วยการฉีดยา
- น้ำหนัก 50 กก. ขึ้นไป: รับประทาน 20 มก. ตามด้วย 10 มก. ทุกๆ 4 ถึง 6 ชั่วโมงเท่าที่จำเป็น
- น้ำหนักน้อยกว่า 50 กก.: รับประทาน 10 มก. ตามด้วย 10 มก. ทุกๆ 4 ถึง 6 ชั่วโมงเท่าที่จำเป็น
- ขนาดยาสูงสุด: 40 มก./วัน
คำแนะนำ
- อย่าเพิ่มขนาดยาหรือความถี่สำหรับอาการปวดที่แทรกขึ้นมา (breakthrough pain) ควรพิจารณาเพิ่มยาโอปิออยด์ (opioids) ขนาดต่ำเท่าที่จำเป็นหากเหมาะสม
- ใช้ยาในขนาดที่น้อยที่สุดเท่าที่มีประสิทธิภาพและเปลี่ยนไปใช้ยาระงับความรู้สึกทางเลือกอื่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การใช้งาน
- เพื่อการรักษาในระยะสั้น (ไม่เกิน 5 วัน) เพื่อจัดการอาการปวดเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรงที่จำเป็นต้องมีการใช้ยาระงับความรู้สึกระดับยาโอปิออยด์ (opioid) โดยปกติจะใช้ช่วงหลังผ่าตัด
ขนาดยาสำหรับผู้สูงอายุเพื่อรักษาอาการปวด
ระยะเวลาโดยรวมของการใช้ยาคีโตโรแลคโดยการฉีดยา การรับประทาน หรือการพ่นทางจมูกไม่ควรเกิน 5 วัน ยาในรูปแบบรับประทานนั้นต้องใช้ร่วมกับการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำหรือการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเท่านั้น
ยาพ่นจมูก
- ขนาดยา : 15.75 มก. ทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมง (one spray in 1 nostril)
- ขนาดยาสูงสุด : 4 ครั้งต่อวัน
ยาฉีด
- การรักษาด้วยการให้ยาหนึ่งครั้ง : ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 30 มก. หรือฉีดเข้าหลอดเลือด 15 มก.
- การรักษาด้วยการให้ยาหลายครั้ง : 15 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดทุกๆ 6 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด : 60 มก./วัน
การรับประทานยาต่อเนื่องมาจากการรักษาด้วยการฉีดยา
- ขนาดยา : รับประทาน 10 มก. ตามด้วย 10 มก. ทุกๆ 4 ถึง 6 ชั่วโมงเท่าที่จำเป็น
- ขนาดยาสูงสุด : 40 มก./วัน
คำแนะนำ
- อย่าเพิ่มขนาดยาหรือความถี่สำหรับอาการปวดที่แทรกขึ้นมา (breakthrough pain) ควรพิจารณาเพิ่มยาโอปิออยด์ (opioids) ขนาดต่ำเท่าที่จำเป็นหากเหมาะสม
- ใช้ยาในขนาดที่น้อยที่สุดเท่าที่มีประสิทธิภาพและเปลี่ยนไปใช้ยาระงับความรู้สึกทางเลือกอื่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การใช้งาน
เพื่อการรักษาในระยะสั้น (ไม่เกิน 5 วัน) เพื่อจัดการอาการปวดเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรงที่จำเป็นต้องมีการใช้ยาระงับความรู้สึกระดับยาโอปิออยด์ (opioid) โดยปกติจะใช้ช่วงหลังผ่าตัด
การปรับขนาดยาสำหรับไต
- ห้ามใช้ยาในผู้ป่วยที่ไตบกพร่องในระดับสูง
- ผู้ป่วยที่ไตบกพร่องในระดับเบากว่านั้นควรใช้ยาในขนาดที่ต่ำกว่าโดยมีการเฝ้าระวังสถานะของไตอย่างใกล้ชิด
ยาพ่นจมูก
- ขนาดยา : 15.75 มก. ทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมง (one spray in 1 nostril)
- ขนาดยาสูงสุด : 4 ครั้งต่อวัน
ยาฉีด
- การรักษาด้วยการให้ยาหนึ่งครั้ง : ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 30 มก. หรือฉีดเข้าหลอดเลือด 15 มก.
- การรักษาด้วยการให้ยาหลายครั้ง : 15 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดทุกๆ 6 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด : 60 มก./วัน
การรับประทานยาต่อเนื่องมาจากการรักษาด้วยการฉีดยา
- ขนาดยา : รับประทาน 10 มก. ตามด้วย 10 มก. ทุกๆ 4 ถึง 6 ชั่วโมงเท่าที่จำเป็น
- ขนาดยาสูงสุด : 40 มก./วัน
การปรับขนาดยาสำหรับตับ
หากมีสัญญาณหรืออาการของตับบกพร่องเกิดขึ้นหรือตรวจพบว่าตับผิดปกติ การประเมินความเป็นพิษต่อตับ ควรใช้อย่างความระมัดระวัง และควรหยุดใช้ยานี้หากมีสัญญาณและอาการของโรคตับหรือมีอาการทั่วร่างกาย (systemic manifestation) เช่น อีโอซิโนซิฟิเลีย (eosinophilia) ผดผื่น
การปรับขนาดยา
อย่าใช้ยาเกินขนาด 60 มก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำหรือกล้ามเนื้อ สำหรับผู้ป่วยที่อายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยที่น้ำหนัก 50 กก. (110 ปอนด์) หรือน้อยกว่านั้น และในผู้ป่วยที่มีครีอะตินินซีรั่มสูงในระดับปานกลาง
การฟอกไต
ห้ามใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีไตบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรง
คำแนะนำอื่นๆ
คำแนะนำการใช้ยา
ยาพ่นจมูก
- ยานี้ไม่ได้ใช้สำหรับสูดดม ห้ามสูดดมขณะใช้ยา
- ควรเปิดใช้งานปั๊มก่อนการใช้งาน ถือขวดยาไว้สุดแขน กดและปล่อยหัวปั๊มอย่างเท่ากัน 5 ครั้ง
- สั่งน้ำมูกเบาๆ นั่งหรือยืนตัวตรง ก้มหน้าเล็กน้อย
- สอดปลายขวดเข้าไปในจมูกให้ปลายชี้ออกจากตรงกลางจมูก
- กลั้นหายใจและกดพ่นยาหนึ่งครั้ง หายใจทางปากหลังจากให้ยา
- หากยาหยดออกมาให้บีบจมูกไว้
- ทำตามขั้นตอนซ้ำที่รูจมูกอีกข้างหากจำเป็น
- กำจัดขวดยา 24 ชั่วโมงหลังจากเปิดขวด
รับประทาน
- ไม่ควรเริ่มต้นใช้ยาด้วยยาเม็ด ให้ใช้วิธีการฉีดยา ระยะเวลาการรักษารวมกันไม่ควรเกิน 5 วัน
ยาฉีด
- การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทันทีไม่ควรนานเกิน 15 วินาที
- ควรฉีดยาเข้ากล้ามเนื้ออย่างช้าๆ และฉีดลึกเข้าในกล้ามเนื้อลึก
การเก็บรักษา
ยาสำหรับฉีด
- เก็บไว้ในอุณหภูมิห้องที่ควบคุม เก็บให้พ้นจากแสง
ยาพ่นจมูก
- เก็บให้พ้นจากแสงและการแช่แข็ง
- เก็บขวดยาที่ยังไม่ได้เปิดไว้ในตู้เย็น ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซียลเซียส (36-46 องศาฟาเรนไฮต์)
- หากเปิดใช้งานแล้ว ควรเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง กำจัดยาทิ้งหลังจากเปิดขวดยา 24 ชั่วโมง
เทคนิคการคืนรูปหรือการเตรียมตัว
- ควรเตรียมขวดยาพ่นจมูกก่อนใช้งานครั้งแรก กดและปล่อยหัวปั๊มขวดยาเป็นจำนวน 5 ครั้ง
ความเข้ากันของการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ
- ไม่ควรผสมยานี้ (เช่น ภายในกระบอกฉีดยา) กับยาอื่นในปริมาณน้อย ทั้งยามอร์ฟีนซัลเฟต (morphine sulfate) เมเพอริดีนไฮโดรคลอไรด์ (meperidine hydrochloride) โปรเมทาซีนไฮโดรคลอไรด์ (promethazine hydrochloride) หรือไฮดรอกไซซีนไฮโดรคลอไรด์ (hydroxyzine hydrochloride) เนื่องจากอาจทำให้เกิดการตกตะกอนของยาตัวนี้จากสารละลาย
- สามารถผสมกับน้ำเกลือธรรมดา สารละลายเด็กโทรส 5 % (D5W) สารละลายริงเกอร์ (Ringer’s) สารละลายแลคเตทริงเกอร์ (Lactated Ringer’s) หรือสารละลายพลาสมาซีสต์ (Plasmacyte) ได้
ทั่วไป
- ควรรักษาอาการของเหลวในร่างกายน้อยกว่าปกติ (Hypovolemia) ก่อนเริ่มให้ยา
- ควรใช้ยาในขนาดที่ต่ำที่สุดในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- ไม่ควรใช้ยานี้ร่วมกับแอสไพรินหรือยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ อย่าใช้ยาคีโตโรแลคแบบพ่นจมูกร่วมกับยาแบบฉีดหรือแบบรับประทาน
การเฝ้าระวัง
- ควรเฝ้าระวังความดันโลหิตอย่างใกล้ชิด ทั้งในช่วงเริ่มต้นและตลอดการรักษา
- ควรเฝ้าระวังสัญญาณและอาการของอาการเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
- ควรเฝ้าระวังสถานะของไตอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ฮอร์โมนโปรสตาแกลนดินส์ของไตมีบทบาทสำคัญจากการที่มีเลือดมาเลี้ยงไต (renal perfusion)
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย
- ไม่ควรใช้ยานี้นานเกิน 5 วัน เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรง
- ขณะใช้ยา ควรรักษาระดับการบริโภคน้ำให้คงที่ และหากปริมาณปัสสาวะลดลงอย่างมาก ควรรีบปรึกษาแพทย์
- ผู้ป่วยควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลต่อหัวใจและหลอดเลือด อาการของระบบทางเดินอาหาร ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ของผิวหนัง อาการแพ้ ความเป็นพิษต่อตับ หรืออาการน้ำหนักขึ้นอย่างหาสาเหตุไม่ได้หรือบวมน้ำ
- หากผู้ป่วยใช้ยาพ่นจมูกในระยะสั้น อาจเกิดอาการระคายเคืองหรือไม่สบายที่จมูกระดับเบาถึงปานกลางได้ ผู้ป่วยควรกำจัดขวดยา 24 ชั่วโมงหลังเปิดใช้
ขนาดยาคีโตโรแลคสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาอาการปวด
ระยะเวลาโดยรวมของการใช้ยาคีโตโรแลคโดยการฉีดยา การรับประทาน หรือการพ่นทางจมูกไม่ควรเกิน 5 วัน ยาในรูปแบบรับประทานนั้นต้องใช้ร่วมกับการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำหรือการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเท่านั้น
ยาพ่นจมูก
อายุมากกว่า 17 ปี
- น้ำหนัก 50 กก. ขึ้นไป : 31.5 มก. ทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมง (พ่นเข้าจมูกข้างละ 1 ครั้ง)
- น้ำหนักน้อยกว่า 50 กก. : 15.75 มก. ทุกๆ 6 ถึง 8 ชั่วโมง (พ่นเข้าจมูกข้างละ 1 ครั้ง)
- ขนาดยาสูงสุด : 4 ครั้งต่อวัน
การรับประทานยาต่อเนื่องมาจากการรักษาด้วยการฉีดยา
อายุมากกว่า 17 ปี
- น้ำหนัก 50 กก. ขึ้นไป : รับประทาน 20 มก. ตามด้วย 10 มก. ทุกๆ 4 ถึง 6 ชั่วโมงเท่าที่จำเป็น
- น้ำหนักน้อยกว่า 50 กก. : รับประทาน 10 มก. ตามด้วย 10 มก. ทุกๆ 4 ถึง 6 ชั่วโมงเท่าที่จำเป็น
- ขนาดยาสูงสุด : 40 มก./วัน
ยาฉีด
อายุมากกว่า 17 ปี
การรักษาด้วยการให้ยาหนึ่งครั้ง
- น้ำหนัก 50 กก. ขึ้นไป : ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 60 มก. หรือฉีดเข้าหลอดเลือด 30 มก.
- น้ำหนักน้อยกว่า 50 กก. : ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 30 มก. หรือฉีดเข้าหลอดเลือด 15 มก.
การรักษาด้วยการให้ยาหลายครั้ง
- น้ำหนัก 50 กก. ขึ้นไป : 30 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดทุกๆ 6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุด: 120 มก./วัน
- น้ำหนักน้อยกว่า 50 กก. : 15 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าหลอดเลือดทุกๆ 6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุด: 60 มก./วัน
อายุ 2-16 ปี
การรักษาด้วยการให้ยาหนึ่งครั้ง
- ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ : 1 มก./กก สูงสุดที่ 30 มก.
- ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ : 0.5 มก./กก. สูงสุดที่ 15 มก.
- ขนาดยาสูงสุด : 1 ครั้ง
คำแนะนำ
- อย่าเพิ่มขนาดยาหรือความถี่สำหรับอาการปวดที่แทรกขึ้นมา (breakthrough pain) ควรพิจารณาเพิ่มยาโอปิออยด์ (opioids) ขนาดต่ำเท่าที่จำเป็นหากเหมาะสม
- ใช้ยาในขนาดที่น้อยที่สุดเท่าที่มีประสิทธิภาพและเปลี่ยนไปใช้ยาระงับความรู้สึกทางเลือกอื่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การใช้งาน
- เพื่อการรักษาในระยะสั้น (ไม่เกิน 5 วัน) เพื่อจัดการอาการปวดเฉียบพลันระดับปานกลางถึงรุนแรงที่จำเป็นต้องมีการใช้ยาระงับความรู้สึกระดับยาโอปิออยด์ (opioid) โดยปกติจะใช้ช่วงหลังผ่าตัด
ข้อควรระวัง
- ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 2 ปี
- ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยาพ่นจมูกและยารับประทานในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 17 ปี
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
- สารละลายสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
- สารละลายสำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
- ยาพ่นจมูก
กรณีฉุกเฉินหรือการใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติ ไม่ควรเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]